ในช่วงเช้าวันนี้ 13 มีนาคม 2567 ทีมข่าวช่อง 8 ได้เข้าไปพูดคุยกับนางละเอียด (นามสมมติ) ซึ่งเป็นแม่ของนายพิทญา หรือ ไอ้นาย แฟนเก่าน้องสา ที่ลงมือฆ่าฝ่ายหญิงก่อนนำร่างไปหมกบ่อในวัดร้างใกล้บ้านนั้น โดยนางละเอียด ได้พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด โดยก่อนที่จะเริ่มสัมภาษณ์ นางละเอียดก็ได้ยกมือไหว้ต่อหน้าพ่อท่านคล้ายวาจาสิทธิ์แล้วพูดว่า "สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเป็นพยาน ลูกจะขอพูดแต่ความจริง ทุกถ้อยคำทุกคำพูดที่ออกไปจะเป็นความจริงที่ออกจากใจ สาธุ"


จากนั้นนางละเอียดก็ได้ออกมาโต้ประเด็นเกี่ยวกับการติดหนี้หลักแสนบาท โดยนางละเอียดขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง คือตนนั้นได้ยืมเงินจากนางสาจริงซึ่งเป็นเงินจำนวน 10,000 บาท พร้อมกับกางสมุดจดบันทึกให้ทีมข่าวดู ซึ่งในหน้าแรกนั้นเป็นเดือนกันยายน-พฤศจิกายน 2566 ถูกบันทึกไว้ว่ามีการยืมเงินนางสา 10,000 บาท และมีประวัติการชำระผ่อนจำนวน 9 ครั้ง ครั้งละ 200 บาท รวมเป็นเงิน 1,800 บาท


หน้าที่ 2 เป็นเดือนธันวาคม โดยในเดือนนี้มีการชำระผ่อนจำนวน 18 ครั้ง ครั้งละ 250 บาท รวมเป็นเงิน 4,500 บาท ถัดมาในหน้าที่ 3 เป็นเดือนมกราคมและเดือนกุมภาพันธ์ 2567 จะเห็นว่าในช่วงวันแรก ๆ จะมีการผ่อนจ่ายครั้งละ 150 บาท แต่หลังจากนั้นจำนวนเงินก็เริ่มลดลงเหลือครั้งละ 100 บาท 50 บาท เนื่องจากนางละเอียดนั้นหาเงินไม่ทันและได้มีการร้องขอให้นางสาช่วยปรับลดจำนวนเงินในการผ่อนชำระ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนางละเอียดนั้นยืนยันว่ามีการยืมเงินเพียงแค่ 10,000 บาท และก็มีการผ่อนชำระอยู่ตลอด แต่ในการยืมเงินครั้งนี้นางสาได้คิดดอกเบี้ยร้อยละ 20 ทำให้ในตอนนี้นางละเอียดยังคงติดค้างเงินต่อนางสาอีกจำนวน 6,000 บาท




ซึ่งนางละเอียดก็ยังยืนยันว่าตนนั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในวันที่ 3 มีนาคม 2567 และเงินแค่หลักหมื่นบาทคงไม่ใช่เรื่องร้ายแรงถึงขนาดต้องก่อเหตุฆาตกรรม อีกทั้งนางละเอียดยังคงยืนยันว่าในช่วงเดือนมีนาคม “ตนนั้นไม่ได้เห็นหน้าเห็นตาหรือพูดคุยอะไรกับนางสาเลย ไม่มีการเจอกันที่บ้าน ไม่มีการบังเอิญเจอตามตลาดด้วยความสัจจริง”


ทั้งนี้ทีมข่าวสอบถามไทม์ไลน์ทั้งหมดในวันที่ 3 มี.ค. นางละเอียดก็บอกว่า ตนนั้นตื่นตั้งแต่เช้าเวลาประมาณ 06.30 น. เพื่อที่จะมาชงชากาแฟขายและตลอดทั้งวันตนก็ยืนขายเครื่องดื่มอยู่แบบนั้น ไม่ได้ออกไปไหนเลย จนเวลาประมาณ 1 ทุ่มเศษก็เข้าห้องนอนตามปกติ พร้อมกับยืนยันว่าในวันนั้นไม่มีใครเข้ามาหาตนที่บ้าน จะมีก็แต่กลุ่มวัยรุ่นที่เป็นเพื่อนของนายพิทญาเข้ามาเนื่องจากมารวมตัวกันดื่มน้ำกระท่อม


ทีมข่าวก็ได้ถามอีกว่า “แล้วทำไมในวันแรกแม่ถึงบอกว่าไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลย แต่วันต่อมาแม่กลับพูดไม่เหมือนเดิมบอกว่าได้ยินเขาทะเลาะกัน” ทางด้านนางละเอียดก็ตอบกับมาว่า “ก็แม่ไม่รู้ไม่เห็นจริง มันเป็นเสียงปกติไง แม่ก็คิดว่าเป็นเรื่องปกติ แม่ไม่ได้ไปก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวของลูก”


สุดท้ายทีมข่าวก็ถามว่า “ในวันที่ 3 มีนาคม 2567 มีชาวบ้านละแวกนี้เห็นว่านางสาได้เข้ามาที่บ้านและมีการนั่งคุกเข่าพูดคุยกับนางละเอียด” คำแรกที่นางละเอียดพูดออกมาคือ “ทุเรศ” จากนั้นก็พูดต่อว่า “ไม่ได้คุยค่ะ ไม่มีค่ะ ใครพูดก็ให้พาคนนั้นมาเลยนะ ไปโรงพักเลยก็ได้ ถ้าจะบอกว่านางสามาคุกเข่าต่อหน้า เป็นไปไม่ได้เพราะนางสาไม่เคยปฏิบัติแบบนั้นกับตน”


ซึ่งทีมข่าวก็ได้ถามอีกว่า “ถ้าไม่ได้คุยกับนางสาแล้วนางสามาไหม” ทางด้านนางละเอียดก็โพล่งอีกว่า “พอแม่เข้าห้อง แม่ก็ไม่ได้ออกมาเลยนะ เขาก็เข้าในห้องปิดประตูโครม” เราก็ถามสวนทันที “ใครปิดประตูโครม” นางละเอียดก็ตอบอย่างไวว่า “ก็สากับนายไง” นักข่าวก็ถาม “เอ้า สรุปแล้วแม่เจอพี่สาหรือเปล่า แม่บอกว่าแม่ได้ยินอ่ะ” นางละเอียดก็ปฏิเสธว่า “ไม่ใช่ไง ก็เขามาถึงห้องก็เข้าไปในห้องเลยไง เขามาทุ่มกว่า ๆ ก็แม่ได้ยินเสียงรถไง เสียงรถมันดัง แล้วเขาก็คุยกันธรรมดาเหมือนทุกวัน” แล้วนางละเอียดก็พูดว่า “เรื่องมันจบแล้ว แม่ก็ให้โอกาสนักข่าวมาถามนะ ลูกชายแม่แถลงไปหมดแล้ว มันน่าจะจบแล้วนะ”


ซึ่งนางละเอียดยังบอกอีกว่า ตนไม่รู้เรื่องของรอยเลือดจริง ๆ ยอมรับว่าหลังจากที่นายพิทญาออกจากบ้านไป ตนก็ได้เข้าไปในห้องนอนอยู่บ่อย ๆ เนื่องจากเสื้อผ้าของหลานวัย 4 ขวบอยู่ในห้องนั้น แต่ตนไม่เห็นเลือดจริง ๆ เพราะที่นอนมันถูกพลิกคว่ำอยู่ ขณะเดียวกันในวันนี้ทีมข่าวเห็นว่าฟูกที่นอนถูกเผาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งคนที่เผาก็คือนางละเอียด




ทีมข่าวจึงสอบถามทันทีว่าในวันที่ 2 มี.ค. ได้ไปเจอกันที่ตลาดหรือเปล่า ทางด้านนางละเอียดก็บอกว่า “แม่ไปที่ตลาดจริงเพราะสาช่วยฝากงานให้แม่ แต่ยืนยันว่าวันนั้นไม่ได้เจอกันเพราะแม่ก็ไปตลาดตอนดึกแล้ว จนกระทั่งในวันที่ 3 มี.ค. แม่ก็อาบน้ำเข้าห้องนอนตามปกติและก็ได้ยินแค่เสียงรถจักรยานยนต์ดัง แม่ก็คิดในใจว่า “สงสัยคงจะกลับมากันแล้ว” ตอนนี้แม่รู้สึกเครียดเพราะถูกตั้งข้อสงสัยว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดช่วยเหลือลูกชาย แม่เสียใจมากเลย แต่แม่ก็ดีใจที่เขายอมมอบตัวเพราะความจริงทุกอย่างอยู่ที่ลูกชายหมดแล้ว”


ทีมข่าวได้ภาพวงจรปิดวันที่ 2 มี.ค. 2567 จับภาพนางละเอียดเข้าทดลองทำงานที่แผงไก่สด ก่อนออกจากตลาดคลาดกันนางสาเพียง 20 นาที ซึ่งเจ้าของแผงขายไก่สดได้ให้ข้อมูลว่า นางสานั้นเป็นลูกจ้างที่มาทำงานชำแหละเนื้อไก่สดที่ตลาดมานานหลายปี จนในวันที่ 2 มี.ค. นางสาก็ได้โทรศัพท์มาฝากฝังนางละเอียดให้มาทำงานที่แผงขายไก่สด เนื่องจากนางละเอียดนั้นลำบากและมีความขัดสนเรื่องเงิน ซึ่งเจ้าของแผงขายไก่ก็รู้สึกเห็นใจจึงบอปให้นางละเอียดมาทดลองทำงานดู


ทำให้ในวันที่ 2 มี.ค.67 เวลา 23.19 น. นางละเอียดและลูกชายคนเล็กก็ได้เดินเข้ามาที่แผงไก่สด จากนั้นก็ยืนดูอยู่ประมาณ 1 นาที แล้วก็เข้าไปหยิบมีดเตรียมหั่นไก่สดในทันที ซึ่งนางละเอียดนั้นไม่ค่อยชำนาญการใช้มีด เจ้าของแผงจึงบอกให้หยุดทำก่อน จนในเวลา 23.35 น. นางละเอียดและลูกชายคนเล็กก็ได้เดินออกจากตลาดไป




จากนั้นเพียง 20 นาที ในเวลา 23.56 น. ทางด้านนางสาก็ได้เดินเข้ามาในตลาด พร้อมกับถือขนมและเครื่องดื่มมาฝากเพื่อนร่วมงาน จากนั้นนางสาก็ลงมือทำงานในทันที จนในเวลา 04.58 น. ของวันที่ 3 มี.ค. นางสาก็ได้เลิกงานและรับเงินค่าจ้างจากเจ้าของแผง จากนั้นก็เดินกลับออกไปในทันที


ซึ่งสาเหตุที่เจ้าของแผงขายไก่สดอยากจะแสดงภาพจากกล้องวงจรปิดตัวนี้ คืออยากจะให้หลายคนได้เห็นว่านางสา เธอเป็นคนจิตใจดีขนาดไหน เธอพยายามฝากงานให้กับนางละเอียด เธอขยันทำงาน ไม่เคยคิดเกี่ยงงานเลย เธอมอบตัวเสียงหัวเราะและความสุขให้กับคนรอบข้างอยู่เสมอ แต่ในวันนี้เธอต้องมาถูกฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยมจากคนในครอบครัวที่เธอคอยช่วยเหลือและสนับสนุนมาโดยตลอด


โดยทีมข่าวช่อง 8 ได้พูดคุยกับนางแดง (นามสมมติ) อายุ 47 ปี ซึ่งเป็นแม่ค้าที่ขายของอยู่ในตลาดท้ายวัดซึ่งอยู่ละแวกเดียวกับบ้านของนางละเอียด (แม่ของผู้ต้องหา) ซึ่งนางแดงได้เปิดเผยว่า ตนนั้นเป็นแม่ค้าขายของอยู่ในตลาด ซึ่งทุกวันก็จะเก็บของกลับบ้านในเวลาประมาณ 19.00 น. เช่นเดียวกับวันที่ 3 มี.ค. ตนจำได้แม่นว่าในวันนั้นเป็นวันพระเนื่องจากตนจะใส่ชุดขาวทุกวันพระ




ในวันที่ 3 มี.ค. หลังจากเก็บของเสร็จประมาณ 19.00 น. ตนก็ขับรถพ่วงข้างเตรียมจะกลับบ้าน ซึ่งตนก็ได้ขับผ่านบ้านของนางละเอียด ยืนยันว่าในตอนนั้นเห็นว่านางละเอียดได้นั่งอยู่หน้าประตูบ้านโดยนั่งอยู้บนเก้าอี้พลาสติก ซึ่งมีนางสากำลังนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้นและใช้มือทั้งสองข้างกุมมือนางละเอียดไว้ ตอนนั้นสังเกตเห็นว่าทั้งคู่คุยกันด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด แต่ตนก็ไม่รู้หรอกว่าเขาคุยเรื่องอะไรกัน


ทีมข่าวก็ได้ถามย้ำว่าแน่ใจใช่ไหม เห็นจริงแน่นะ ไม่ได้จำวันผิดใช่ไหม ทางด้านนางแดง ก็ยืนยันอย่างหนักแน่นว่าเห็นจริง ๆ พูดย้ำว่าเป็นวันที่ 3 มี.ค. อย่างแน่นอน ถึงขนาดพูดสาบานต่อหน้าพระใหญ่ว่าเห็นจริง ๆ ไม่มีการพูดเท็จแน่นอน แต่จากที่ดูข่าวมาก็รู้สึกว่าทำใจไม่ได้เลย เพราะเห็นสัมภาษณ์นางละเอียดบอกว่า “ไม่ได้เจอนางสาเลยตั้งแต่เดือนมีนาคม” ตนก็ยังคิดอยู่เลยว่าทำไมนางละเอียดไม่พูดความจริง ก็เข้าใจได้ว่าอยากปกป้องลูกตัวเอง แต่เหตุการณ์มาถึงขนาดนี้แล้วก็น่าจะพูดความจริงให้หมด




ทางด้านพระชาตรี ซึ่งเป็นพระลูกวัดท้าวโคตรได้เผยว่า ในช่วงค่ำวันที่ 3 มี.ค. ได้ยินเสียงดังคล้ายกับคนทะเลาะกัน ลักษณะคือโวยวาย กรีดร้อง เมื่อได้ยินดังนั้นก็เดินเข้าไปดูใกล้ ๆ พบว่าเสียงนั้นมาจากบ้านของนางละเอียด (แม่ของผู้ต้องหา) และเหตุการณ์ตรงหน้าที่เห็นคือทั้ง 3 คนกำลังทะเลาะและโต้เถียงกันอยู่


ซึ่ง 3 คนนั้นก็คือ ไอ้นาย นางละเอียด และนางสา แต่ในตอนนั้นก็ไม่ได้เข้าไปห้ามปรามอะไรเพราะคิดว่าเป็นเรื่องในครอบครัว อีกทั้งที่นางละเอียดก็อยู่ในวงสนทนา เขาเป็นผู้ใหญ่ก็น่าจะห้ามปรามได้เอง กระทั่งในช่วงเวลาประมาณตี 1 (4 มี.ค.67) ก็ได้ยินเสียงเหมือนอะไรสักอย่างตกลงไปในน้ำ เสียงดังสนั่นมาก ในตอนนั้นพระชาตรีจึงรีบเดินออกไปดูก็ได้ยินเสียงผู้ชายพูดด้วยเสียงกระซิบว่า “อย่าวิ่ง อย่าวิ่ง นั่งลงก่อน” พระชาตรีจึงวิ่งกลับไปที่กุฏิเพื่อไปหยิบไฟฉาย แต่เมื่อกลับมาอีกทีก็ไม่พบกับใครแล้ว จึงคิดว่าคงเป็นวัยรุ่นที่เข้ามาขโมยของ และก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นเหตุฆาตกรรมอะไร ซึ่งพระชาตรีเชื่อว่าในช่วงตี 1 ของวันที่ 4 มี.ค. นั้นไม่ได้มีคนเพียงคนเดียว เพราะตอนนั้นมันมีบทสนทนาขึ้นมาว่า “อย่าวิ่ง” จึงเชื่อได้ว่าต้องมีอย่างน้อย 2 คน

"พยาน" รุมแฉ "ไอ้นาย" กระซิบสั่งคนปริศนาอย่าวิ่งหลังทิ้งศพ "น้องสา" ลงบ่อ