จากกรณีที่ หลวงปู่พูน ฐิตปุญโญ อายุ 75 ปี เจ้าอาวาสวัดป่าเกษมสุข หมู่ 8 ต.เพชรละคร อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ ถูกไฟเผาไหม้เกือบทั้งร่างเหลือเพียงส่วนหัวและส่วนบนบางส่วน อยู่กลางป่าหลังวัด โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นช่วงเช้าวันที่ 3 มี.ค. ที่ผ่านมา ชาวบ้านส่วนหนึ่งคาดกว่า หลวงปู่ถูกฆาตกรรมและเผา เพื่อทำลายหลักฐานและอำพรางคดี ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ส่งร่างของหลวงปู่ไปชันสูตรที่โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ เพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริง ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น




ล่าสุดวันนี้ เวลา 11.00 น. พล.ต.ต.สารนัย คงเมือง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเพชรบูรณ์ เดินทางมาที่ ห้องประชุมชั้น 3 สภ.หนองไผ่ เพื่อติดตามความคืบหน้าคดี เบื้องต้นจากข้อมูลทราบว่าก่อนเกิดเหตุทางหลวงปู่มีลูกศิษย์มายืมเงิน ชื่อว่า นายตี๋ ซึ่งเป็นหลานเจ้าอาวาส ยืมเงินประมาณ 3,300,000 บาท ทางตำรวจจึงต้องเริ่มสืบสวนจากปมนี้ หลังจากเจอวงจรปิดที่เผยให้เห็นว่า มีผู้ใหญ่บ้านชื่อว่า อุเทน พ่อของนายตี๋ ซึ่งเป็นคนที่ไปรับ-ส่งเจ้าอาวาส ก่อนจะพบกลายเป็นศพในกองเพลิง




ล่าสุดวันนี้นายชัย หรือ ตี๋ อายุ 43 ปี ได้เดินทางมาจากจังหวัดอุดรธานีถึงที่วัดป่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งได้เข้ามาช่วยงานภายในวัดป่าแห่งนี้ทันที พร้อมทั้งยังได้เข้าไปช่วยเก็บข้าวของภายในกุฏิของหลวงปู่พูนบางส่วนด้วย ก่อนออกมาเปิดใจกับทีมข่าว หลังมีกระแสข่าวเรื่องเงินที่โยงไปถึงการเสียชีวิตของหลวงปู่


นายตี๋ บอกว่า หากย้อนไปเมื่อประมาณ 13 ปีที่ผ่านมา ตนเองได้มีโอกาสเข้ามาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่เนื่องจากว่าเป็นคนที่ชอบพระสายป่าและสายปฏิบัติธรรม ตอนมาเจอหลวงปู่ครั้งแรกหลวงปู่ถามว่าดื่มเหล้าและเล่นการพนันหรือไม่ตัวเองตอบว่าไม่ดื่ม หลวงปู่จึงให้พระเครื่องไว้ติดตัว ซึ่งตอนนี้ตัวเองก็ยังนำพระเครื่องนั้นติดตัวเอาไว้ตลอดและนำทีมข่าวไปดูพระเครื่องที่แขวนอยู่ที่รถ


หลังจากนั้นก็ได้มีความสนิทสนมกับหลวงปู่มาโดยตลอด โดยตนเองทำธุรกิจเกี่ยวกับการนำเข้าเครื่องสีข้าวอยู่ที่จังหวัดอุดรธานี แต่หลังจากที่มาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่เพียงไม่นานธุรกิจนำเข้าเครื่องสีข้าวของตนมีปัญหา จึงทำให้ตนเองต้องมาขอหยิบยืมเงินหลวงปู่หลายครั้ง ครั้งละหลักหมื่นถึงหลักแสนบาท รวมถึงได้เช่าบูชาพระของหลวงปู่ไปด้วย




โดย แบ่งเงินที่มีส่วนติดค้างกับหลวงปู่คูณทั้งหมดสองก้อน ก้อน1 เป็นการหยิบยืมเงินรวมทั้งหมด 400,000 บาท ซึ่งก็ยอมรับว่ายังไม่ได้คืนให้กับหลวงปู่พูน และก้อน 2 ตัวเองเป็นคนชื่นชอบพระเครื่องและหลวงปู่เองมีพระเครื่องที่มีมูลค่าสูง จึงได้เช่าบูชาพระเครื่องจักรหลวงปู่เป็นจำนวนมากรวมมูลค่าแล้วประมาณ 2,700,000 บาท ซึ่งยอมรับว่าตัวเองได้คืนเงินบางส่วนให้กับหลวงปู่ไปแล้วประมาณ 1,200,000 บาท จนถึงตอนนี้แม่หลวงปู่จะเสียไปแล้วยังคงเหลือเงินที่ตัวเองติดค้างหลวงปู่อยู่อีกประมาณ 1,500,000 บาท


ซึ่งพระเครื่องของหลวงป ที่ตัวเองเคยบูชามามูลค่าหลายล้านนั้น นายตี๋บอกว่าช่วงขัดสน เคยนำพระเครื่องไปปล่อยบูชาต่อแต่ทางร้านถูกตีกลับมาบอกว่าเป็นพระเก๋เกือบทั้งหมด แต่มาถึงตอนนี้ตัวเองก็ไม่ได้ติดใจอะไรแล้ว


และตั้งแต่ช่วงที่ตนเองฝากตัวเป็นลูกศิษย์กับหลวงปู่ก็แวะเวียนมาดูแลและเยี่ยมเยียนหลวงปู่บ่อยครั้ง จนมาประสบปัญหาทางการเงินเมื่อประมาณ 2-3 ปีที่ผ่านมา ยอมรับว่าไม่ค่อยได้มาดูแลหลวงปู่เหมือนเมื่อก่อน แต่ช่วงที่ตนเองมีเงินทองใช้จ่ายจากกำไรทำธุรกิจ ก็นำเงินมาบูรณะกุฏิและจ้างชาวบ้านให้ขับรถรับส่งดูแลหลวงปู่ อยู่ประมาณ 8 ปีก่อน ที่ชาวบ้านคนดังกล่าวจะย้ายไปทำงานที่กรุงเทพฯ จึงทำให้ตนเองต้องไหว้วานให้ผู้ใหญ่ศรี ผู้เป็นพ่อ มาขับรถคอยรับส่งหลวงปู่ไปบิณฑบาตเมื่อประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา


สำหรับวันที่ทราบว่าหลวงปู่มรณภาพ โดยมีแม่โทรศัพท์มาบอกข่าวตนเองหลังจากทราบเรื่องก็รีบขับรถมาจากจังหวัดอุดรธานี โดยมาถึงที่วัดแห่งนี้ประมาณ 18.00 น. หลังจากที่ตลอดทั้งวันตนเองไปขายหมูยอที่สนามกอล์ฟ จังหวัดหนองคาย


จนตอนนี้ก็ยังรู้สึกผิดและรู้สึกไม่สบายใจ ที่ไม่ได้ใช้หนี้ให้กับหลวงปู่จนครบทุกบาททุกสตางค์ และยังไม่สบายใจ ที่ชาวบ้านตั้งข้อสังเกตว่าตนเองเข้าไปเกี่ยวข้อง กลับการยืมเงินหลวงปู่และการเสียชีวิตของหลวงปู่ แต่ตนเองก็ไปห้ามความคิดของชาวบ้านไม่ได้เพราะทุกคนมีสิทธิ์คิด ก็ได้แต่ร้องไห้ในใจ แต่ยังไงก็เชื่อว่าความจริงก็คือความจริง ตนยืม ตนก็บอกว่ายืม แต่ยืนยันได้เลยว่า ตนไม่กล้าคิดที่จะทำร้ายคนที่มีบุญคุณกับตน




ส่วนสาเหตุที่หลวงปู่ให้ยืมเงินหลักล้านบาทนั้น ก็เพราะว่าหลวงปู่เชื่อใจตน ที่ผ่านมาตนคอยดูแลท่านช่วยเหลือพาหลวงปู่ไปรักษาที่โรงพยาบาลทุกครั้งเวลาเจ็บป่วย และเมื่อหลวงปู่เห็นว่าตนอยู่ในช่วงขาลงลำบาก ไม่มีแม้กระทั่งรถขับขี่ จึงได้ให้เงินเพื่อช่วยเหลือ และยังคอยให้กำลังใจมาตลอด ไม่เคยเอ่ยปากทวงสักครั้ง แต่ในส่วนลึกก็เชื่อว่าการเสียชีวิตของหลวงปู่ผิดธรรมชาติ แต่ก็ไม่มั่นใจว่าจะมาจากอะไรได้บ้าง เพราะเท่าที่คิดก็มีเพียงแค่เรื่องคนเสพยาคนนอกที่เข้า-ออกพื้นที่ได้ตลอด เพราะไม่มีประตูเป็นพื้นที่ป่า


ตอนที่เคยมาอยู่กับหลวงปู่นั้นเคยมีคนเหมือนมาลักลอบจับสัตว์ป่า หลวงปู่ก็ให้ไล่หนีไปแต่ก็ถูกยิงสวนมาแต่โชคดีไม่โดนคนและการเดินไปตรงจุดที่พบศพ หลวงปู่ไม่น่าจะเดินได้ไกลขนาดนั้น ขนาดห้องน้ำที่อยู่ไม่ไกลมาก หลวงปู่ยังเดินไปลำบาก


เมื่อถามว่าเงินของหลวงปู่มาจากไหนนั้น นายตี๋ ตอบว่า ส่วนตัวไม่รู้ว่าหลวงปู่มีเงินมีทองเยอะ แต่เท่าที่รู้มา หลวงปู่เป็นคนมัธยัสถ์มาก และเป็นคนมีเงินอยู่แล้วตั้งแต่ก่อนบวช โดยช่วงก่อนที่หลวงตามหาบัวจะละสังขาร หลวงปู่เคยถวายทองให้ 30 บาทด้วย


อย่างไรก็ตาม นายตี๋ ยังท้าสาบานต่อหน้าพระอริยสงฆ์ และวัดป่าแห่งนี้ด้วยว่า สิ่งที่ตนพูดเป็นความจริง ตนถือศีลห้า ไม่มีทางกล้าโกหก ที่ผ่านมาตนไม่อายทำกิน เพราะทำมาหากินสุจริต แต่พอมาได้ยินข่าวก็รู้สึกเสียใจมาก มันเป็นสิ่งที่น่าเจ็บปวด เพราะการสูญเสียหลวงปู่พูนครั้งนี้ ถือว่าขาดเสาหลักทางใจ




ส่วนประเด็นที่หลายคนมองว่าพบร่างหลวงปู่แค่ท่อนบน ส่วนท่อนล่างหายไปนั้น ล่าสุด พันตำรวจเอกฐานุพงศ์ แสงซื่อ ผู้กำกับการ สภ.หนองไผ่ เปิดเผยว่าท่อนล่างไม่ได้หายไปเหมือนกระแสข่าว แต่ไปอยู่รวมกับชิ้นส่วนของด้านบนที่อยู่ติดกัน ซึ่งแพทย์ได้มาตรวจสอบวันที่พบร่างและยืนยันว่าเป็นชิ้นส่วนกระดูกท่อนล่าง


ส่วนประเด็นเรื่องที่หลายคนสงสัยว่า จากเชื้อเพลิงซึ่งเป็นกองใบไม้แห้งและกิ่งไม้จะสามารถเผาร่างของหลวงปู่พูนจนท่อนล่างหายไป เหลือแต่กระดูกหน้าหรือไม่นั้น ช่วงบ่ายที่ผ่านมา พ.ต.อ.ภานุพงษ์ เเสงซื่อ ผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรหนองไผ่ ได้อัดคลิปกองไม้ใกล้กับจุดที่พบล่างหลวงปู่พูน ที่วันนี้มีไฟลุกขึ้นมา พร้อมอธิบายให้นักข่าวฟังเเละเปรียบเทียบให้เห็นภาพว่า ขณะนี้เกิดเหตุไฟไหม้มา 5 วันเเล้ว เเต่ไฟก็ยังสามารถลุกลามได้อยู่


พร้อมกับอธิบายว่า ความรุนเเรงของไฟในเเต่ละตำเเหน่ง สามารถที่จะไหม้ต้นไม้ที่เป็นท่อนได้เกือบทั้งต้น เเละจุดที่ไฟรุนเเรงต้นไม้ก็จะมอดขาด เช่นเดียวกับร่างกายของคน ถ้าถูกไฟไหม้ก็จะสามารถเหลือเเต่บางส่วนได้ เป็นการสันนิษฐานที่ก็จะต้องใช้ผลทางนิติวิทยาศาสตร์เข้ามาพิสูจน์ด้วย ซึ่งขณะที่ ผกก.สภ.หนองไผ่ กำลังตรวจสอบ ปรากฏว่าไฟที่ไหม้ป่าก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง ต้องเรียกชาวบ้านนำน้ำมาดับ


ส่วนการตั้งประเด็นในการเสียชีวิตครั้งนี้ตำรวจวางเอาไว้สามประเด็น

1. ถูกฆาตกรรม เรื่องความขัดแย้งส่วนตัว มี 2 เรื่อง
- 1.1 ให้ครอบครัวผู้ใหญ่อุเทนยืมเงิน
- 1.2 มรดกที่ดินของคนในครอบครัว
2. เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ไฟป่าครอก
3. พระดนัย คนที่เคยพักอาศัยผู้ตาย ก่อนออกจากวัดไปสามวันก่อนที่จะพบศพ


หลังจากมีข้อสันนิษฐานในเชิงการสืบสวน ว่าการเสียชีวิตของหลวงปู่พูนนั้นอาจจะเกิดจากไฟป่าที่อยู่ใกล้กับวัด เนื่องจากว่าก่อนที่จะพบศพหลวงปู่พูนอยู่ในกองเพลิง ก็พบว่าก่อนหน้านี้เคยมีไฟไหม้ป่าใกล้กับวัดดังกล่าวแล้ว




ทีมข่าวจึงไปหาภาพจากกล้องวงจรปิด พบว่าในวันที่ 29 ก.พ. ที่ผ่านมา สองวันก่อนเกิดเหตุในเวลา 10.41 น. มีเหตุการณ์ไฟไหม้ป่าเกิดขึ้นที่วัดดังกล่าวแล้ว ซึ่งหลวงปู่เป็นคนแจ้งให้ดับเพลิงช่วยไปดับ และภาพจากกล้องวงจรปิดก็จับภาพได้ว่า รถดับเพลิงเข้าไปในวัดเพื่อดับไฟป่าในช่วงเวลานั้นจริง


นอกจากนี้ยังมีภาพที่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงมาดับไฟป่าวันที่ 29 ก.พ. ถ่ายภาพไฟป่าเพื่อไว้ใช้ รายงานเกี่ยวกับการทำงานด้วย ซึ่งส่วนนี้คือภาพที่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงมาดับไฟป่าวันที่ 3 มี.ค. ซึ่งเป็นวันที่พบร่างหลวงปู่ การดับไฟป่าเกิดขึ้นช่วงเช้าซึ่งตอนไปดับไฟป่านั้น ก็ไม่พบว่ามีร่างของหลวงปู่พูนทั้งที่จุดที่ไฟป่าไหม้นั้นเป็นแนวไฟเดียวกันกับที่พบร่างของหลวงปู่พูน


วันนี้ทีมข่าวจึงลงพื้นที่ไปตรวจสอบที่ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบต.เพชรละคร หรือว่าศูนย์รถดับเพลิง ทีมข่าวไปเจอนายอภิชาติ พนักงานป้องกันสังกัดองค์การบริหารส่วนตำบลเพชรละคร ซึ่งเป็นคนที่ขับรถน้ำเข้าไปดับเพลิงในวันที่พบร่างหลวงปู่ ซึ่งนำสมุดรายงานการดับไฟป่าให้กับทีมข่าวดูพบว่าบริเวณปากใกล้กับกุฏิของหลวงปู่มีไฟไหม้ป่าถึง 3 ครั้ง ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา


ครั้งแรก 29 กุมภาพันธ์ เวลา 10.30 น.
ครั้งสอง 1 มีนาคม เวลา 11.40 น.
ครั้งสาม 3 มีนาคม เวลา 6.50 น.





นายอภิชาติ เล่าว่า ในวันที่สามก่อนที่จะพบร่างหลวงปู่พูนนั้น ตนเองได้รับแจ้งจากรุ่นน้องที่เข้าเวรประจำป้อม อพปร. ว่าผู้ใหญ่อุเทน หรือผู้ใหญ่ศรี ขี่รถจักรยานยนต์มาแจ้งว่าให้ไปดับไฟที่กำลังไม่ป่าอยู่บริเวณหลังวัดป่าเกษมสุข จากนั้นตนเองก็ได้ขับรถน้ำออกจากป้อมไปช่วงเวลาประมาณเกือบเวลา 7.00 น. จนไปถึงพบว่าไฟไหม้ป่าเป็นวงกว้าง เท่าที่สังเกตบริเวณต้นเพลิงน่าจะเกิดจากจุดที่เผาสรีระของหลวงปู่ (ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าหลวงปู่ถูกเผา) และลามไปบริเวณด้านหลังวัด ในลักษณะแนวราบกับพื้นไม่ได้เป็นเปลวเพลิงลุกผมแต่อย่างใด จากนั้นตนเองใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงกว่า จนมั่นใจว่าไฟดับสนิทแล้วจึงได้ขับรถน้ำกลับมาที่ป้อม ก่อนที่ช่วงบ่ายจะรับแจ้งว่าเจอสรีระของหลวงปู่ ถูกไฟไหม้อยู่ในป่าห่างจากกุฏิประมาณ 200 เมตร


สำหรับที่ผ่านมา ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ตนเองได้รับแจ้งจากหลวงปู่ให้เข้าไปดับไฟป่าภายในวัดแห่งนี้ เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ เวลาประมาณ 10.30 น. ครั้งนั้นใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมงในการดับไฟจนแน่ใจว่าไฟดับสนิทแล้วจึงได้ขับรถน้ำกลับมาที่ป้อม โดยก่อนที่ตนเองจะออกจากวัดยังได้พูดคุยกับหลวงปู่ หลวงปู่ก็ได้ตัดพ้อให้ฟังว่า มีชาวบ้านมาหาผึ้ง โดยจะต้องจุดไฟเป็นควันเพื่อไล่ผึ้งจนทำให้เกิดไฟป่า ซึ่งตอนที่พูดคุยกับหลวงปู่ก็ยังบอกอีกว่า อาตมาเดินได้ไม่ไกลมาก เท่าที่ตนเองสังเกตหลวงปู่ก็จะเดินมาแค่ห้องสรงน้ำ ซึ่งหลวงปู่มีท่าทีกังวลบอกว่ากลัวว่าไฟจะลามมาติดที่กุฏิตัวเองเหลือเกิน และกลัวเป็นห่วงว่าไฟจะป่าไปหมดก่อนเพราะหลวงปู่เป็นคนรักป่ามาก


แต่หลังจากวันที่ 29 กุมภาพันธ์ที่ตนเองขับรถน้ำไปดับไฟนั้น ก็มั่นใจว่าไฟดับสนิทแล้วแต่ส่วนมาก แม้ว่าไฟจะดับสนิท แต่ก็มีโอกาสที่จะปะทุขึ้นมาอีกครั้งภายใน 2-3 ชั่วโมง ซึ่งก็อาจจะเป็นไปได้ที่ไฟจะปะทุขึ้นอีกครั้งช่วงวันที่ 2 มีนาคม




จากกรณีที่ตำรวจตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับบุคคลใกล้ชิดของหลวงปู่พูนทั้งหมด ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ "พระดนัย" วันนี้ทีมข่าวจึงลงพื้นที่ไปพูดคุย นายสมาน อายุ74 ปี ลูกศิษย์ของหลวงปู่พูน เล่าให้กับทีมข่าวฟังว่า จริง ๆ แล้วหลวงปู่พูนไม่ได้อยู่ที่วัดนี้เพียงลำพัง มีพระอีกรูปชื่อว่า พระดนัย หรือว่า พระแปร อยู่ที่วัดแห่งนี้ด้วย แต่พระดนัยหายออกไปจากวัดแห่งนี้ได้สามวันก่อนที่จะมาพบร่างของหลวงปู่พูน ซึ่งไม่มีใครทราบว่าพระดนัยหายไปไหน และตอนนี้ก็ยังไม่มีใครสามารถติดต่อพระดนัยได้ แต่เชื่อว่าเป็นการออกไปธุดงค์ตามวงรอบของพระสงฆ์สายวัดป่า


ส่วนพระดนัยนั้นเดิมทีแล้วเป็นคนในหมู่บ้านแห่งนี้ แต่หลังจากพ่อและแม่ของพระดนัยเสียชีวิตหมดทำให้พระนัยบวชเป็นพระธุดงค์ออกไปอยู่ตามวัดทั่วไป แต่วัดล่าสุดที่มาอยู่ก็คืออยู่กับหลวงปู่พูนที่วัดแห่งนี้ ก่อนจะหายไปสามวันก่อนที่จะพบศพหลวงปู่




ล่าสุดทีมข่าวนั่งไล่ภาพจากกล้องวงจรปิดในช่วงกลางคืน ก่อนที่รุ่งเช้าตื่นมาจะพบว่าหลวงปู่พูนหายไปและพบเป็นศพ พบว่า กล้องวงจรปิดบริเวณปากซอยเข้าไปในวัด ในช่วงเวลาประมาณ 22.01 น. ของวันที่ 2 ก.พ. มีชายคนหนึ่งขี่รถจักรยานยนต์มาจอดบริเวณปากซอยทางเข้าวัด


ซึ่งชายบนรถจักรยานยนต์คันดังกล่าว ขี่มาจอดเป็นเวลาประมาณเกือบ 3 นาที และที่น่าแปลกใจก็คือชายคนดังกล่าว ขี่รถรถจักรยานยนต์กลับเข้าไปมุ่งหน้าเข้าสู่ทางที่จะไปวัด ช่วงเวลาประมาณ 22.03 น.

ปริศนา "หลวงปู่พูน" ถูกย่างสด ตี๋ ร่ำไห้โต้ฆ่าล้างหนี้ 3 ล้าน พิรุธพระในวัดหายตัวลึกลับ