จากกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.หนองไผ่ ได้รับแจ้งมีพระสงฆ์ ชื่อ หลวงปู่พูน ฐิตปุญโญ อายุ 75 ปี ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าเกษมสุข หมู่ 8 บ้านท่าเสา ต.เพชรละคร อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ ถูกไฟเผาเกือบทั้งร่างเหลือเพียงท่อนบนและศีรษะบางส่วน เท่านั้น จุดเกิดเหตุอยู่ภายในชุมชนอยู่ภายในเขตพื้นที่วัดเนื้อที่ราว 20 ไร่ ซึ่งสภาพศพที่พบมีลักษณะนอนคว่ำหน้าถูกไฟไหม้เกือบทั้งร่างเหลือเพียงส่วนหัวและไหล่ซ้าย

 

ห่างจากวัดป่าเกษมสุขออกไป 100 เมตร ทีมข่าวของเรา ไปเจอเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานลงพื้นที่บ่อขยะข้างวัด เก็บชิ้นเนื้อและกระดูกบางส่วนที่ชาวบ้านพบ ซึ่งจะนำไปตรวจสอบว่าเป็นชิ้นส่วนมนุษย์หรือไม่

 

ซึ่งการพบชิ้นส่วนคล้ายคล้ายกับชิ้นส่วนของมนุษย์นี้ เป็นการทำงานของชุดสืบสวนที่ถามจากชาวบ้านว่าบริเวณใกล้กับวัด มีกองเผาขยะหรือไม่ จนชาวบ้านระบุว่ามีกองเผาขยะกองนี้ที่อยู่ห่างจากวัดไปประมาณ 100 เมตร เมื่อตำรวจชุดสืบสวนไปตรวจสอบจึงพบว่ามีชิ้นส่วนคล้ายกับชิ้นส่วนมนุษย์จึงให้เจ้าหน้าที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐานเข้าไปตรวจสอบ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลตรวจสอบว่าใช่ชิ้นส่วนมนุษย์จริงหรือไม่ และหากเป็นชิ้นส่วนมนุษย์จริงใช้ชิ้นส่วนของหลวงปู่พูนท่อนล่างที่หายไปหรือไม่

 

นอกจากนั้น สังเกตเห็นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐานยังมีการนำ ขดลวด คล้ายกับขดลวดด้านในของยางรถยนต์ ซึ่งเบื้องต้นตำรวจเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเป็นขดลวดด้านในของยางรถยนต์ที่นำมาใช้คล้ายกับการเผานั่งยาง

 

ทีมข่าวได้ภาพจากกล้องวงจรปิดบริเวณปากซอยทางเข้าวัดของหลวงปู่พูน พบว่ารถสามล้อคันสีเขียวที่นายอุเทนเป็นคนขับพาหลวงปู่ออกจากวัดเพื่อไปบิณฑบาตในช่วงเวลา 06:28 น. ของวันที่ 2 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งนี่เป็นการบิณฑบาตครั้งสุดท้ายของหลวงปู่พูน

 

นอกจากนั้น ภาพกล้องวงจรปิดอีกมุมหนึ่ง ของวันที่ 2 มีนาคม ปรากฏภาพวันสุดท้ายที่หลวงปู่พูน นั่งรถสามล้อคันสีเขียวซึ่งมีผู้ใหญ่อุเทนเป็นคนขับพาไปบิณฑบาตให้ญาติโยมใส่บาตรในพื้นที่ บ้านเรืองสำราญหมู่ 12 ตำบลเพชรละครซึ่งอยู่ห่างจากวัด ป่าเกษมสุขที่หลวงปู่จำวัดประมาณ 3-4 กิโลเมตร ซึ่งถือว่าในวันเดียวกันนี้ทางหลวงปู่ได้หยุดรถ ให้ญาติโยมใส่บาตรเป็นครั้งสุดท้าย 2 จุด โดยจุดแรกอยู่บริเวณทางเข้าหมู่บ้าน เรืองสำราญ

 

วงจรปิดอีกมุมจะเห็นว่า นั่งรถสามล้อคันสีเขียวผ่านเส้นทางใส่บาตร ไปยังจุดที่ 2

 

ต่อมาเป็นจุดที่ญาติโยมใส่บาตรหลวงปู่จุดที่ 2 และหลวงปู่ก็ได้ให้พรกับญาติโยม ก่อนจะกลับมาที่วัด ซึ่งเป็นการออกบิณฑบาตและให้พรญาติโยมครั้งสุดท้าย ก่อนจะกลับมาที่วัดและเสียชีวิต

 

ทีมข่าวได้ไปพูดคุยกับ นางสาวดวงพร อายุ 41 ปี หลานสาวของหลวงปู่พูน เล่าให้กับทีมข่าวของเราฟังว่า สาเหตุที่นายอุเทน มาสว่าง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 3(คนละหมู่กับที่ตั้งวัด) มาเป็นคนขับรถให้หลวงปู่พูน และเป็นคนแรกที่พบว่าหลวงปู่หายไป เป็นเพราะลูกชายของผู้ใหญ่อุเทน เคยยืมเงินของหลวงปู่ไปประมาณ 3,300,000 บาท ส่วนรายละเอียดนั้นไม่ทราบว่ายืมไปนานแล้วหรือยัง แล้วก็ไม่ทราบด้วยว่านายตี๋ลูกชายของผู้ใหญ่อุเทนรู้จักกับหลวงปู่ได้อย่างไร

 

ส่วนเงิน 3,000,000 ที่หลวงปู่พูนมีนั้นนางสาวดวงพรบอกว่า เป็นเงินมรดกที่พ่อแม่แกให้ไว้ตั้งแต่ก่อนที่จะบวชเป็นพระอีก (บวชมา 42 ปี)

 

และด้วยนิสัยที่มีความเมตตาของหลวงปู่พูน ที่ใครหรือชาวบ้านเดือดร้อนก็มักจะหยิบยืมเงินหลวงปู่ประจำแต่ส่วนใหญ่ก็ก็คือหลวงปู่กันทุกคน

 

ส่วนตั้งแต่ที่หลวงปู่พูนหายตัวไปจนมาพบเป็นศพก็ไม่ทันได้สังเกตเห็นว่านายตี๋ได้กลับมาที่วัดแห่งนี้บ้างหรือยังเพราะปกติไม่ได้อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้แล้ว

 

อีกประเด็นหนึ่งที่นางสาวดวงพร ตั้งข้อสงสัย แถวนี้อาจจะมีชาวบ้านที่ชอบเสพยาเสพติดแล้วมาขอเงินแกเพื่อไปซื้อยาเสพติด พอแกไม่ให้ก็อาจจะโกรธถึงขั้นฆ่าแกก็เป็นไปได้ เพราะบางทีหลวงปู่ก็เกิดความรำคาญ เวลามีวัยรุ่นชอบมาขอเงินแกก็เคยให้ไปบ้าง พอมาอีกครั้งแล้วไม่ให้ก็อาจจะทำให้ผมวัยรุ่นโมโหก็ได้

 

ล่าสุดช่วงเย็นวันนี้ บริเวณจุดพบศพ พลตำรวจตรีสารนัย คงเมือง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเพชรบูรณ์ ได้ลงพื้นที่มาตรวจสอบเพิ่มเติม รวมถึงเดินสำรวจพื้นที่โดยรอบ ซึ่งทีมข่าวของเราได้ไปคุยกับท่านผู้การได้ข้อมูลที่น่าสนใจ โดยเฉพาะข้อมูลผลการชันสูตรเบื้องต้นที่ระบุว่า

 

ผลการชันสูตรพลิกศพสรีระหลวงปู่ เบื้องต้นพบเขม่าควันไฟในหลอดลมและปอด บ่งบอกได้ว่าหลวงปู่เสียชีวิตในกองเพลิง

 

แต่ก่อนเสียชีวิตเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต้องนำหลักฐานอื่นมาประกอบ ทั้งหลักฐานในที่เกิดเหตุ หลักฐานเทคโนโลยีทั้งหมด

 

และไม่พบรอยบาดแผลจากมีด หรือร่องรอยของการต่อสู้และถูกทำร้ายร่างกาย และไม่พบคราบน้ำมันที่สันนิษฐานว่าคนร้ายใช้เป็นเชื้อเพลิงในการจุดไฟเผาร่างของหลวงปู่พูน ส่วนดินที่จุดพบศพเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานได้นำไปตรวจสอบแล้ว อยู่ระหว่างรอผลทางนิติวิทยาศาสตร์อย่างละเอียดอีกครั้ง

 

ทีมข่าวจึงได้คุยกับ นายอุเทน ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 3 คนที่เป็นคนขับรถให้กับหลวงปู่พูน ซึ่งยอมรับกับทีมข่าวว่าจริงๆแล้วตัวเองไม่ได้รู้จักกับหลวงปู่พูน แต่รู้จักเพราะนายตี๋ลูกชายของตัวเอง ซึ่งจริงๆแล้วเป็นลูกติดกับภรรยาคนปัจจุบัน เนื่องจากว่าในปีนั้นสนิทกับหลวงปู่พูซึ่งก็ไม่รู้ว่าสนิทด้วยได้อย่างไรแต่รู้แค่ว่าหลวงปู่พูนรักและเอ็นดูนายตี๋เหมือนเป็นลูกหลาน

 

ส่วนเรื่องเงินที่ญาติของหลวงปู่บอกว่านายตี๋ลูกชายตัวเองยืมเงินไปนั้นก็จะเป็นเรื่องจริง ยืมไปเมื่อปี 2564 ซึ่งยืมไปประมาณ 100,000 บาทและได้คืนไปแล้ว แต่ก็ไม่แน่ใจว่ายังมีค้างส่วนไหนอีกไหม ซึ่งหลังจากเกิดเรื่องที่หลวงปู่หายไปแล้วก็เป็นศพตอนได้ติดต่อกับปีแล้วซึ่งเดี๋ยวจะเดินทางมาที่วัดแห่งนี้

 

ส่วนในวันที่เกิดเหตุแล้วมาจะลงหลวงปู่พูนนั้น ผู้ใหญ่อุเทนบอกว่าก็มารับหลวงปู่ตามปกติ มาถึงที่วัดประมาณ 6 โมง พอมาถึงปุ๊บก็ไม่เห็นว่าหลวงปู่มานั่งรอจึงจอดมอเตอร์ไซค์ตัวเองไปเอารถสามล้อคันสีเขียวมารอหลวงปู่แต่ก็ไม่พบว่าหลวงปู่ออกมาจึงพยายามเดินตามอยู่เพียงคนเดียว จนกว่ามีญาติโยมประมาณ 6 โมงครึ่ง จึงได้มาช่วยกันตามหา

 

ผู้ใหญ่อุเทนยอมรับกับทีมข่าวของเราว่า ตอนนี้รู้สึกกังวลว่าตัวเองจะเป็นเป้าเพราะว่าเป็นคนมาพบว่าหลวงปู่หายไปไปคนแรก

 

นอกจากนั้นวันนี้ตำรวจได้มีการนำจักรยานยนต์และรถซาเล้ง ของนายอนันต์ อายุ 49 ปี หลานชายของหลวงปู่พูน ที่จอดรถอยู่ที่บ้าน ขับมาจอด ที่วัดข้างกุฏิของหลวงปู่พูน เพื่อตรวจเทียบกับบริเวณจุดเกิดเหตุคือภายในวัด

 

ทีมข่าวจึงเข้าไปคุยกับนายอนันต์ บอกว่าตัวเองก็รู้สึกงงเหมือนกันที่จู่จู่ตำรวจไปตามมาจากที่บ้านแล้วให้เอารถจักรยานยนต์รวมถึงรถซาเล้งมาตรวจที่วัดแห่งนี้ ที่สำคัญตำรวจยังยึดโทรศัพท์มือถือตัวเองไปด้วย ดูตัวเองก็ยืนยันไปแล้วว่าในช่วงที่เกิดเหตุนั้นตัวเองไม่ได้มาที่วัดเลย

 

ส่วนคนที่มาก่อเหตุฆ่าหลวงปู่ได้นั้นเชื่อว่าต้องเป็น คนใกล้ชิดเท่านั้น ซึ่งคนใกล้ชิดหลวงปู่ก็มีมีอยู่แค่ไม่กี่คน ซึ่งหมายถึงผู้ใหญ่อุเทนคนที่รับส่งหลวงปู่ด้วย

 

ส่วนประเด็นเรื่องนายตี๋ลูกชายของผู้ใหญ่อุเทนกับเพื่อนหลวงปู่ไปนั้น นายอนันต์บอกว่าจริงๆแล้วเท่าที่ตัวเองทราบเป็นเงินที่มีการซื้อขายพระเครื่องกัน

 

เนื่องจากว่านายตี๋เป็นคนชอบเล่นพระเครื่อง แล้วหลวงปู่ มีพระเครื่องที่มีมูลค่าสูง เป็นพระซุ้มกอเนื้อผงใบลาน ที่มีมูลค่าสามล้านบาท นายตี๋จึงได้ซื้อพระ จากหลวงปู่ไปในมูลค่าสามล้านบาท แต่ภายหลังขัดสนเงินจึงมาขอคืนเป็นการยืมสองล้านบาท

 

ากการอสบถาม นายไสว อายุ 76 ปี มัคนายกวัด เล่าว่า ตนเองทำหน้าที่ทำความสะอาดภายในวัด ปัดกวาดบริเวณรอบรอบศาลา และ ในวัด พระท่านอาศัยอยู่ในวัดเพียงรูปเดียว บางครั้งก็มีพระลูกวัดมาไสแต่อยู่ไม่นานคือเข้ามาพักเฉยๆ ตัวพระท่านไม่ชอบเรื่องของการรดน้ำมนต์ แต่ทำน้ำมนต์เอาไว้ ถ้าชาวบ้านมาก็ให้ตักเอาไป ก่อนหน้านี้แต่นานมาแล้ว มีพระมาอาศัย ท่านก็ไม่อยากให้ใช้ไฟเกินตัว จึงได้ว่าเขาไป คือพระจะเสียบไฟเสียบพัดลมแล้วไม่ยอมปิด ท่านถึงตำหนิ คือพระไม่เห็นใจคนเสียเงิน ในส่วนของพระนั้น นานมาแล้วคือมีปัญหากับพระที่หายไป คือพอมีปัญหา พระรูปนี้ก็หนีไปทางอื่น เรื่องปัญหาของการเสพยาบ้า มันมีเด็กที่เข้ามาในวัด คือในระยะ 2 ปีหลังบางทีก็ขับรถยนต์เข้ามาเพื่อเข้าไปเซฟเสื้อผ้าแล้วสองสามคนหลวงพ่อก็ไม่เคยไปยุ่งแต่ตนเองเคยแอบไปดูตอนเค้าเสพ คือผู้เสพจะมีทั้งขับรถยนต์เข้ามาและขับรถจักรยานยนต์เพราะพื้นที่ในวัดมีค่อนข้างกว้างผู้เสพจึงเข้าได้หลายทางส่วนประเด็นของการถูกผู้เสพยาทำร้ายหรือไม่นั้นชาวบ้านก็สงสัยเรื่องประเด็นนี้เพราะก่อนหน้านี้เคยมีผู้เสพยาเคยเข้ามาขอเงินท่านซึ่งท่านก็เล่าให้ฟังก่อนหน้านี้ก็เคยมีการเข้ามารับเงินในตู้บริจาคของวัดเช่นกัน

 

นายบุญจันทร์ อายุ 80 ปี ชาวบ้านที่เคยทำหน้าที่เผาศพกลางแจ้ง ตั้งแต่สมัยอดีต เปิดเผยกับข่าวของเราว่า ก่อนหน้านี้ในหมู่บ้านมักจะใช้วิธีการเผาศพกลางแจ้งซึ่งตัวเองก็เป็นคนเผาศพแต่ภายหลังหลังจากมีเมรุก็ไม่ได้ทำหน้าที่นั้นแล้ว

 

ซึ่งสมัยก่อนนั้นถ้าจะเผาศพคน 1 ศพต้องใช้ผืนที่มีขนาดใหญ่และยาวกว่า ร่างของทรงนั้นถึง 20 ท่อน ถึงจะสามารถเผาให้มอดไหม้เหลือแต่เท่ากระดูกภายในครึ่งชั่วโมง

 

ส่วนที่พบร่างของหลวงปู่พูนนั้น ตัวเองในฐานะคนที่เคยเผาศพคนกลางแจ้ง ไม่เชื่อว่าแค่เศษใบไม้และเศษกิ่งไม้ที่หล่นอยู่ในป่าจะสามารถเป็นเชื้อเพลิงในการเผาจนร่างของหลวงปู่พูนหายไปครึ่งหนึ่ง

 

และมองว่าไม่เหมือนกับที่เป็นการเผาคนในอดีตและไม่เชื่อว่าคนร้ายจะใช้แค่เศษซากใบไม้หมดบริเวณนั้นในการเผาเชื่อว่าต้องมีเชื้อเพลิงอย่างอื่นด้วย

 

อีกหนึ่งข้อมูลที่น่าสนใจ ก็คือว่า ปกติแล้วมักจะมีไฟป่าเกิดขึ้นในช่วงฤดูนี้อยู่บ่อยครั้ง ซึ่งหลวงปู่เป็นคนไม่ชอบให้มีไฟป่า โดยพบว่าหนึ่งวันก่อนที่จะพบร่างหลวงปู่ มีไฟป่าใกล้วัดและใกล้กับแนวที่พบร่างของหลวงปู่ ซึ่งตัวเองก็ทราบข่าวนี้เพราะหลวงปู่ไปแจ้งให้เจ้าหน้าที่มาช่วยดับไฟป่าก่อนหน้านี้

ไขคดีสยอง! "หลวงปู่พูน" ถูกเผาทั้งเป็น พิรุธให้ยืม 3 ล้านก่อนมรณภาพปริศนา