จากกรณีที่เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 13.00 น. ณ ห้องประชุม 10-01 อาคารกระทรวงยุติธรรม พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยนางสาวเอมอร เสียงใหญ่ อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ นายทวีวัฒน์ สุรสิทธิ์ ผู้อำนวยการกองคดีความมั่นคง ผู้แทนกรมสอบสวนคดีพิเศษ ผู้แทนกองกฎหมาย และผู้แทนกองการต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้ให้การต้อนรับนายยาสุอากิ และนางเอโกะ คาวาชิตะ (Mr.Yasuaki Mrs. Eiko KAWASHITA) บิดาและมารดาของนางสาวโทโมโกะ คาวาชิตะ พร้อมด้วยคณะเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น ประจำประเทศไทย ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะและติดตามประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของบุตรสาว ซึ่งถูกฆาตกรรม เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2550 ณ จังหวัดสุโขทัย ซึ่งผ่านมา 17 ปี ยังจับตัวคนร้ายไม่ได้ นั้น





ต่อมาทีมข่าวช่องได้เดินทางมายังวัดสะพานหิน ซึ่งเป็นโบราณสถานเก่าแก่ ที่คาดว่าสร้างตั้งแต่ในรัชสมัยของพ่อขุนรามแหงมหาราช ตั้งอยู่บนเนินภูเขาลูกเตี้ยๆ ภายในตำบลเมืองเก่า อำเภอเมืองสุโขทัย ซึ่งทางขึ้นวัดสะพานหินนั้น จะมีทางขึ้นเป็นก้อนหินขนาดใหญ่เรียงซ้อนกันจนเป็นบรรได ทอดไปถึงองค์พระปฏิมาขนาดใหญ่ โดยจากทางขึ้นจนไปถึงองค์พระปฏิมาขนาดใหญ่ จะมีระยะทาง 300 เมตรด้วยกัน ซึ่งในช่วงที่ทีมข่าวช่อง 8 มาถึง ก็มีนักท่องเที่ยวจำนวนหนึ่ง เดินทางมาเยี่ยมชมอยู่ด้วนจำนวนหนึ่ง


จากนั้นทีมข่าวช่อง 8 ได้เดินขึ้นไปตามทางเดินของวัดสะพานหิน จนไปพบกับอนุสรณ์ไว้อาลัยนางสาวโทโมโกะ ซึ่งเป็นจุดเดียวกับที่นางสาวโทโมโกะ เสียชีวิต จะอยู่ทางขวามือของทางขึ้นวัดสะพานหิน โดยจากทางจุดทางขึ้นวัดสะพานหิน จนมาถึงจุดที่พบร่างของนางสาวโทโมโกะ ระยะทางประมาณ 240 เมตรด้วยกัน





โดยลักษณะของอนุสรณ์ไว้อาลัยนางสาวโทโมโกะ จะเป็นกองก้อนหินน้อยใหญ่วางเรียงกันให้เป็นวงกลม และมีดอกดาวเรืองที่ถูกขยี้ออก มาโปรยเอาไว้ และมีแจกันดอกไม้ที่ถูกตัดมาจากขวดน้ำชา และภายในมีดอกดาวเรือง 5 ดอก และดอกบัว 1 ดอก อยู่ภายในแจกัน และจะอยู่ภายในวงล้อมของกองก้อนหินที่วางเรียงกันให้เป็นวงกลมอีกที และคาดว่าจะเป็นของพ่อแม่ของนางสาวโทโมโกะ ที่เพิ่งเดินทางมาไว้อาลัยลูกสาว เมื่อวันที่ 12 ก.พ. ที่ผ่านมา


ล่าสุดทีมข่าวช่อง 8 ได้เดินทางมายังโรงแรมโอลด์ ซิตี้ เกสท์เฮาท์ จ.สุโขทัย สถานที่แรกที่นางสาวโทโมโกะ คาวาชิตะ ได้มาติดต่อห้องพักและได้ฝากกระเป๋าเอาไว้ ณ ที่แห่งนี้ ซึ่งขณะนี้สถานที่ดังกล่าว ได้ถูกปิดตัวลงตั้งแต่ช่วงโควิด-19 เนื่องจากขาดสภาพคล่องทางการเงิน


ต่อมาทีมข่าวช่อง 8 ได้พูดคุยกับนายอานนท์ อายุ 66 ปี พนักงานต้อนรับของโรงแรมโอลด์ ซิตี้ เกสท์เฮาท์ จ.สุโขทัย ซึ่งเป็นผู้ที่ได้พบกับนางสาวโทโมโกะ คาวาชิตะ เป็นคนแรก โดยนายอานนท์ ได้เล่าให้กับทีมข่าวช่อง 8 ฟังว่า ขณะนั้นตนมีอายุ 49 ปี โดยเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2550 เวลาประมาณ 19.00 น. วันนั้นนางสาวโทโมโกะ ได้เดินเข้ามาที่โรงแรมโอลด์ ซิตี้ เกสท์เฮาท์ จ.สุโขทัย ที่ขณะนั้นตนเป็นพนักงานต้อนรับอยู่ โดยเมื่อนางสาวโทโมโกะเดินมาถึงตนก็เห็นว่า นางสาวโทโมโกะมาคนเดียวเพื่อมาเที่ยวงานลอยกระทงที่ จ.สุโขทัย ซึ่งพร้อมกับเป้ขนาดใหญ่และกระเป๋าสะพายคาดตัวตัวอีก 1 ใบ





โดยนางสาวโทโมโกะ ได้เข้ามาพูดคุยกับตนเพื่อสอบถามว่า ตอนนี้มีห้องพักว่างหรือไม่ ซึ่งตนก็ทำภาษามือแล้วชี้ไปที่ป้ายภาษาอังกฤษคำว่า “Full” ให้โทโมโกะดู ก็เข้าใจตรงกันว่าห้องพักเต็ม จากนั้นนางสาวโทโมโกะ ก็ได้วางกระเป๋าสัมภาระต่าง ๆ ไว้ข้างผนังออฟฟิศที่ติดต่อห้องพัก ก็เข้าใจได้ว่านางสาวโทโมโกะต้องการฝากสัมภาระต่าง ๆ ไว้ที่นี่ และได้เดินมาถามตนอีกรอบใจความว่าห้องน้ำไปทางไหน ตนก็ทำถ้าชี้ไป นางสาวโทโมโกะก็รู้เรื่อง และเมื่อเข้าห้องน้ำเสร็จ นางสาวโทโมโกะ ก็รีบออกไปเดินเที่ยวงานลอยกระทงในทันที และตนก็เห็นนางสาวโทโมโกะ กลับมาอีกทีช่วงเที่ยงคืนเพื่อมาเอาของในกระเป๋า และก็ออกไปข้างนอกอีกรอบและไม่กลับเข้ามาอีกเลย


ซึ่งในช่วงเช้าตนก็เลิกงาน ก็กลับบ้านไปพักผ่อนตามปกติ เพื่อกลับมาทำงานในช่วงเย็น จนกระทั่งในช่วงบ่ายของวันที่ 25 พฤศจิกายน 2550 เจ้าของโรงแรมโอลด์ ซิตี้ เกสท์เฮาท์ จ.สุโขทัย ที่ตนทำงานอยู่ ก็โทรศัพท์มาหาตน บอกว่าให้รีบเดินทางไปที่วัดสะพานหิน เพราะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งมาว่าพบศพหญิงสาวชาวญี่ปุ่นเสียชีวิตอยู่บริเวณพรงหญ้า เพื่อมาดูว่าใช่คน ๆ เดียวกับที่มีฝากของที่โรงแรมหรือไม่ และเมื่อไปถึงตนก็จำได้แม่นเลยว่า หญิงสาวช่วญี่ปุ่นที่เสียชีวิตนั้นคือนางสาวโทโมโกะ อย่างแน่นอน เนื่องจากจำชุดที่ใส่ในวันที่มาคุยกับตนได้เป็นอย่างดี


โดยสภาพที่พบศพของนางสาวโทโมโกะนั้น นางสาวโทโมโกะนอนตะแคงคว่ำหน้าอยู่ และเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้พลิกร่างของนางสาวโทโมโกะขึ้นมาดู ตนก็เห็นบาดแผลขนาดใหญ่หลายจุด ทั้งบริเวณลำตัว 5-6 แผล และถูกปาดบริเวณลำคอถึง 3 แผลใหญ่ ๆ ซึ่งที่ถูกปาดคอนี่เองตนคาดว่าจะเป็นให้นางสาวโทโมโกะ เสียชีวิตทันที




ส่วนในวันที่พ่อแม่ของนางสาวโทโมโกะ มาไทยในช่วงแรก ๆ หลังนางสาวโทโมโกะเสียชีวิตไปแล้ว ตนก็มีโอกาสพูดคุยกับพ่อแม่ของนางสาวโทโมโกะ ผ่านล่ามชาวไทย โดยตนก็ถามไปว่าทำไมลูกสาวถึงกล้ามาประเทศไทยคนเดียว ไม่มีเพื่อนมาด้วย ซึ่งพ่อแม่ของนางสาวโทโมโกะก็บอกว่าปกติลูกสาวไปท่องเที่ยวคนเดียวมาหลายประเทศแล้ว และครั้งนี้จุดมุ่งหมายคือประเทศไทย ส่วนเรื่องคนที่สังหารลูกสาวของพวกตน เชื่อว่าไม่ใช่คนไทย แต่เชื่ออาจจะเป็นคนญี่ปุ่นหรือคนจากประเทศอื่นๆมากกว่า


และถ้าให้ย้อนไปในวันที่พบกับนางสาวโทโมโกะเป็นครั้งแรก นางสาวโทโมโกะจะเป็นคนยิ้มง่าย อัธยาศัยดี ดูแล้วเข้าง่ายกับทุกคนเพราะถึงแม้จะคุยกันคนละภาษา แต่ก็เข้าใจกันทุกอย่าง อีกทั้งเรื่องนี้ตนก็ยังไม่เคยลืมไปจากหัวใจ และเวลานึกถึงหน้าของนางสาวโทโมโกะ ก็จะรู้สึกสงสารจับใจจนถึงตอนนี้


ต่อมาทีมข่าวช่อง 8 ได้มาพูดคุยกับลุงสงบ อายุ 70 ปี ชาวบ้านในพื้นที่ ต.วังทองแดง อ.เมือง จ.สุโขทัย โดยลุงสงบ คือผู้ที่ชาวบ้านใน จ.สุโขทัย บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า คือคนที่ผู้ก่อเหตุมารับสารภาพให้ฟังว่าเป็นคนสังหารนางสาวโทโมโกะ


ลุงสงบ ได้เล่าให้กับทีมข่าวช่อง 8 ฟังว่า หลังจากวันที่นางสาวโทโมโกะ ถูกฆาตรกรรมภายในวัดสะพานหินได้เพียง 2 วัน ตนเองนั้นก็ได้เดินทางไปดื่มกินแถวหมู่บ้านที่อยู่ละแวกวัดสะพานหิน ซึ่งกลุ่มเพื่อน ๆ ที่ดื่มกินด้วยกันประจำก็จะมีประมาณ 5-6 คน ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ "นายพูน" ไม่ทราบนามสกุล หนุ่มพเนจรที่มารับจ้างไปเรื่อย ๆ ซึ่งในขณะนั้นนายพูนก็มารับจ้างเลี้ยงวัวให้กับผู้มีอิทธิพลรายหนึ่งใน ต.กรุงเก่า อ.เมือง จ.สุโขทัย โดยนายพูนขณะนั้นอายุประมาณ 30 ปี มีหน้าตาโหดเหี้ยม ผิวสีดำแดง เป็นคนรูปร่างท้วม และสูงประมาณ 180 ซม.





โดยในวันนั้นตนเองก็ได้กินดื่มปกติกับกลุ่มเพื่อน ๆ และในขณะที่กำลังนั่งดื่นกินนั้น ตนก็สังเกตว่านายพูนมีทางลุกลี้ลุกลน และสายตาดูลอกแลกไปมาแบบผิดสังเกต ตนจึงถามไปตรง ๆ ว่าไปทำอะไรผิดมา นายพูนก็หันมาตอบกับตนตรง ๆ เลยว่า “ไปฆ่าฝรั่งมา” พอตนถามอีกทีก็บอกว่า “ไปฆ่านักท่องเที่ยวมา เพื่อหวังจะชิงทรัพย์” เพราะเห็นนักท่องเที่ยวสะพายกล้องอยู่ และเมื่อตนถามว่าฆ่ายังไง นายพูนก็ตอบว่า “ใช้มีดแทง” และตนก็ถามต่อไปว่าใช้มีดอะไรแทง นายพูนก็ลุกเดินไปหยิบมีดมาให้ดู ตนจึงเห็นว่าเป็นมีดพกสั้นขนาดประมาณ 2-3 นิ้ว และเมื่อถามเสร็จ ตนก็เลิกถามและกลับบ้านทันที และหลังจากนั้นตนก็ไม่มากินดื่มกับเพื่อนกลุ่มนี้อีกเลยเพราะกลัว


จนเมื่อตนทราบข่าวว่ามีสาวชาวญี่ปุ่น ถูกสังหารด้วยอาวุธมีด จึงมั่นใจว่านายพูน คือคนสังหารนางสาวโทโมโกะ อย่างแน่นอน เพราะเคยมารับสารภาพกับตนแล้ว อย่างไรก็ตามเมื่อตนไปแจ้งข่าวให้กับเพื่อน ๆ รายอื่น ๆ จนคาดว่าเรื่องน่าจะถึงหูตำรวจบ้าง แต่ก็ไม่เคยเห็นตำรวจเอาตัวนายพูน ไปสอบสวน หรือนำไปตรวจดีเอ็นเอเลย ซึ่งนายพูนเองก็ยังคงเลี้ยงวัวให้กับผู้มีอิทธิพลใน ต.กรุงเก่า ที่ตนไม่ขอออกนามตามปกติ จึงคาดว่านายพูนน่าจะได้บารมีจากผู้มีอิทธิพลรายนี้ จนไม่ถูกนำตัวไปรับผิดแต่อย่างใด





จนกระทั่งเรื่องราวการฆาตรกรรมนางสาวโทโมโกะ ผ่านมาแล้ว 5-6 ปี ตนก็ได้ยินข่าวว่านายพูนนั้น ไปติดพันผู้หญิงที่เป็นเมียของเพื่อนในวงเหล้า ทำให้เพื่อนในวงเหล้าคนนั้นไม่พอใจเป็นอย่างมาก ทำให้ในวันหนึ่งระหว่างที่นายพูนและเพื่อนในวงเหล้า รวมไปถึงสามีของผู้หญิงที่นายพูนไปติดพัน นั่งดื่มกินกันอยู่ สามีของผู้หญิงที่นายพูนไปติดพันก็ฉวยโอกาสวางยาพิษใส่ในแก้วเหล้าของนายพูน และเมื่อนายพูนดื่มเหล้าที่มียาพิษอยู่ในแก้ว ไม่นายพูนก็เสียชีวิต และสามีของผู้หญิงที่นายพูนไปติดพันก็ถูกจับและไปรับโทษอยู่ในเรือนจำ ซึ่งตอนนี้ถูกปล่อยตัวออกมาแล้ว


ซึ่งตนก็เชื่อว่าจากการที่นายพูน รับสารภาพกับตนว่าเป็นสังหารนางสาวโทโมโกะ และไม่นานนักก็ต้องมาจบชีวิตแบบอนาถเช่นนี้ ก็เพราะเวรกรรมตามสนองนั้นเอง สุดท้ายตนก็อยากบอกกับสังคมว่าคนที่สังหารนางสาวโทโมโกะ ก็คือนายพูน จะไปหาตัวยังไงก็ไม่เจอ 100% เพราะนายพูนตายไปนานแล้ว

 

เบาะแสฆาตกรตัวจริงสังหารโทโมโกะ เป็นขี้เมา สารภาพลงมือหวังทรัพย์ ตำรวจไม่สอบจนตาย