จากกรณีเด็ก ป.1 โรงเรียนแห่งหนึ่งมีอาการชักเกร็ง และเสียชีวิตในเวลาจนทำให้โซเชียลตั้งข้อสงสัยว่าครูละเลยมัวแต่ถ่ายคลิปแล้วไม่ช่วยเด็กนั้น

 

ต่อมาทางโรงเรียนเชิญผู้ปกครองนักเรียนชายชั้น ป. 1 ที่เกิดอาการชักเกร็งจนเสียชีวิต เข้าพบเปิดกล้องวงจรปิดขณะเกิดเหตุให้ผู้ปกครองได้ดู

ภายหลังจากที่แม่ของน้องเนอสเด็กชายวัยหกขวบนักเรียนชั้น ป. 1 ที่เสียชีวิตได้เข้าเจรจา กับผู้บริหารโรงเรียนและได้ดูกล้องวงจรปิดระหว่างที่น้อง มีอาการตามไทม์ไลน์ที่ครูประจำชั้นได้แจ้งไว้ น.ส.กาญจนา อายุ 27 ปี  แม่ของน้องผู้เสียชีวิตได้เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดแล้วพบว่าครูประจำชั้นดูแลน้องอยู่ในช่วงที่มีอาการซึ่งในระหว่างนั้นลูกตนเองได้นอนราบไปกับพื้นแล้ว และมีอาการเหนื่อยหอบ เหมือนเลือดจะไม่หมุนเวียนในตัวลูกของตนเองแล้ว และครูได้เอายาดมมาให้ลูกตนเองเพียงเท่านั้น ตนเองไม่ได้ติดใจในการช่วยเหลือในเบื้องต้น แต่ตนเองอยากจะได้ความยุติธรรมจากทางโรงเรียนพอตนเองอย่างตั้งข้อสงสัยว่าโรงเรียนดูแลลูกตนเองไม่ดีพอในช่วงที่น้องมีอาการ

 

โดยยอมรับว่าก่อนหน้านี้เคยมีข้อตกลงกับครูประจำชั้นว่าหากน้องมีอาการ แต่วันนั้นครูประจำชั้นบอกกับตนเองว่าน้องมีอาการแค่เพียงอาเจียนเท่านั้น และก็ให้กินยาแก้ปวดหัวซึ่งปกติแล้วเมื่อน้องมีอาการหนักขนาดนี้ ต้องได้รับการช่วยเหลือด้วยการให้ออกซิเจน หากวันนั้นทางโรงเรียนตัดสินใจนำเด็กไปส่งโรงพยาบาลลูกของตนเองก็คงอาจจะไม่เสียชีวิต ซึ่งหลังจากนี้ตนเองจึงอยากให้ทางโรงเรียนเยียวยาชดใช้ในค่าเสียหายกับลูกของตนเองที่เสียชีวิตทุกอย่าง

 

นายนภดล  ประธานกรรมการสถานศึกษา โรงเรียนวัดบางกุฎีทอง เปิดเผยว่า จากการสอบถามผู้อำนวยการและไทม์ไลน์จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นประเด็นข้อสงสัยว่าเหตุใด ถึงไม่เรียกรถพยาบาลหรือรถกู้ชีพเข้ามารับเด็กไปส่งโรงพยาบาล เนื่องจากขั้นตอนการที่จะส่งเด็กไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล  เพราะครูประจำชั้นเคยได้รับแจ้งจากแม่ของเด็กว่าหากเกิดอะไรขึ้นให้ติดต่อแม่เด็กก่อน ซึ่งครูประจำชั้น ก็ได้แจ้งทางแม่เด็กไปแล้วเมื่อตอนที่เด็กมีอาการ แต่ครูประจำชั้นเกรงว่าจะไม่ทันการจึงได้มีการถ่ายคลิปไปให้แม่เด็กได้ดูว่าลูกเกิดอาการแบบนี้เกิดขึ้น เพื่อจะให้แม่ตัดสินใจว่าจะต้องดำเนินการอย่างไรต่อ เพราะตอนนั้น ผู้ที่จะตัดสินใจว่าจะเรียกรถพยาบาลและนำเด็กไปส่งโรงพยาบาลได้นั้นมีเพียงแม่และครูผู้ดูแลอยู่เท่านั้น แต่แม่เด็กบอกกับครูว่าตาของเด็กกำลังจะเดินทางไปที่โรงเรียน ระหว่างนั้นก็มีครูที่อยู่ในที่เกิดเหตุเสนอว่าให้เรียกรถฉุกเฉิน 1669 และเมื่อตาของเด็กมาถึงตาของเด็กพยายามจะเอาเด็กไปส่งโรงพยาบาลเองแต่ทั้งครูเห็นว่าไม่สะดวกและไม่ปลอดภัยเนื่องจากว่าต้องใช้รถจักรยานยนต์เพื่อนำส่ง ครูจึงได้ใช้รถของโรงเรียนไปส่งเด็กที่โรงพยาบาล

 

โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกิดความเสียหายด้วยกันทั้งสองฝ่ายทั้งทางเด็กและทางโรงเรียน แม่ของเด็กต้องสูญเสียลูกและทางโรงเรียนก็ไม่มีเจตนาให้เด็กต้องเป็นอันตรายถึงกับเสียชีวิต พยายามช่วยเหลืออย่างเต็มที่แล้ว แต่สาเหตุปัญหาเกิดจากการที่ตัดสินใจร่วมกันระหว่างที่มีการเจรากันระหว่างผู้ปกครองกับแม่ของเด็ก ว่าจะช่วยเด็กในเหตุการณ์นั้นอย่างไร ซึ่งครูประจำชั้นที่เข้าไปช่วยเหลือเด็กก็ถูกเป็นจำเลยสังคมที่ถูกกล่าวหาว่าถ่ายคลิปไม่ช่วยเด็กแต่ที่จริงแล้วครูถ่ายคลิปเพื่อจะส่งอาการของเด็กให้แม่ได้ดูว่าลูกอยู่ในอาการป่วยลักษณะแบบใด

 

ส่วนมาตรการเยียวยาโรงเรียนอยู่ระหว่างหาวิธีที่จะช่วยเหลือเด็กที่เสียชีวิตเพราะจะกล่าวหาว่าครูเป็นผู้ผิด ตนเองมองว่าไม่ยุติธรรมกับครู ซึ่งโรงเรียนไม่มีงบประมาณที่จะสามารถทดแทนค่าเยียวยาได้ เงินที่ได้มาก็คือเป็นการช่วยกัน ส่วนจะมีใครเป็นผู้ผิดหรือไม่นั้นก็ต้องเป็นกระบวนการฟ้องร้องของกฎหมาย หากพบว่ามีคนผิดก็ต้องมาเรียกค่าเสียหายกับบุคคลนั้น

 

ส่วนในเรื่องประกันภัยของเด็กนั้นถ้าโรงเรียนมีแค่เพียงประกันอุบัติเหตุเท่านั้น ส่วนประกันสุขภาพเกี่ยวกับเรื่องโรคไม่มี ทำให้ครูที่ไปส่งเด็กที่เสียชีวิตจึงต้องนำตัวไปส่งที่ โรงพยาบาลจังหวัดปทุมธานีเพราะเป็นโรงพยาบาลของรัฐ เพราะหากเอาเข้าโรงพยาบาลเอกชนที่อยู่ใกล้กว่าครูจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง หากโรงพยาบาลประเมินแล้วว่าเด็กไม่ได้เป็นผู้ป่วย

หักมุม! แม่โวยครูถ่ายคลิปปล่อยลูกตาย เจอโต้โรคเป็นแต่เกิด หวังเงินให้ฟ้อง