แม่ทายาทหมื่นล้านยันเจ้าสัวความจำดี พินัยกรรมของจริง

จากกรณีที่ 3 ทายาทหมื่นล้าน มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง มาขอความเป็นธรรมกับสื่อมวลชนให้ช่วยกันตรวจสอบพฤติกรรมอันไม่ชอบมาพากลหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการทำพินัยกรรมที่ไม่ชอบมาพากล และการถ่ายโอนเปลี่ยนแปลงชื่อในโฉนดที่ดินหลายแปลง ก่อนที่เป็นพ่อจะเสียชีวิต และทรัพย์สมบัติอีกหลายออย่าง รวมไปถึงการตัดทายาททั้ง 3 คน ซึ่งเป็นลูกที่ชอบด้วยกฎหมายออกจากกองมรดก

วันนี้ 14 กุมภาพันธ์ 2567 นางปราณี พร้อมด้วยทีมทนายความ ก็ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประเด็นต่างๆที่ทายาทคนรองทั้ง 3 คนอย่าง “นายสมรัฐ” ลูกชายคนที่ 2 “นายกิตติ” ลูกชายคนที่ 3 และ “นายจักริน” ลูกชายคนที่ 4 ออกมาร้องเรียนต่อสื่อถึงข้อพิรุธในพินัยกรรมของพ่อหรือ “เจ้าสัวมุข” เจ้าของสถาบันชื่อดัง 3 แห่งใน จ.นครราชสีมา

 

โดย “นางปราณี“ เปิดการแถลงด้วยผลสำรวจภายในโรงเรียน วิทยาลัย และมหาวิทยาลัย ว่าในวันแห่งความรัก เด็กๆ ส่วนใหญ่รักอะไร ซึ่งส่วนใหญ่บอกว่า “รักพ่อและแม่” ก่อนจะพูดถึงประเด็นทั้งหมดที่เกิดขึ้น โดยยืนยันว่าสิ่งที่พูดในวันนี้เป็นเรื่องจริง ตนเองกับ “นายมุข” สร้างครอบครัว ร่วมทุกข์สุขมา 47 ปีและมีลูกชายด้วยกัน 4 คน รวมบุตรบุญธรรมผู้หญิงอีก 1 คน แต่ไม่ขอเปิดเผยตัวตน “นายมุข” ให้ความสำคัญของการศึกษามาก เพราะเชื่อว่าการศึกษาสร้างคนและคนจะสร้างชาติได้ จึงตั้งใจที่จะเปิดสถาบันการศึกษาทุกระดับ ตั้งแต่อนุบาลไปจนถึงปริญญาเอก ซึ่งปัจจุบันก็มีครบแล้วใน 3 สถาบัน

และตนกับ “นายมุข” ก็มีการสอนให้ลูกท่องศีล 5 ตลอด ตั้งแต่เด็กจนโต แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไป หลายอย่างก็ย่อมเปลี่ยนไป จากเดิมที่ตนมีลูกชายเปรียบเหมือนเสา 4 ต้น แต่กลายเป็นมีปลวก ก็คือลูกสะใภ้ของทั้งลูกชายคนรอง 3 คนมาแทะกินไม้ของเสาทั้ง 3 ต้นจนเกือบจะหมด โดนกัดกินจนไร้สมองมาค้ำ เสียสมดุลและพังทลาย ทำให้เสาต้นอื่นถอยล้มไปด้วย

ส่วนอาการป่วยของ “นายมุข” ก่อนเสียชีวิตในวัย 91 ปี “นางปราณี” บอกว่าเป็นเพียงแค่อาการหลงลืมตามวัย แต่ไม่ใช่อาการสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ที่ไม่สามารถรักษาหาย ดังนั้น สติสัมปชัญญะครบ ซึ่งก่อนเสียชีวิต ทางครอบครัวก็พยายามรักษาและให้กินยาตามตามอาการที่หมอสั่ง ซึ่งปรากฏในเอกสารที่ลูกคนรองเปิดให้สื่อดูก่อนหน้านี้ ซึ่งนั่นไม่ใช่ใบรับรองแพทย์ แต่เอกสารจ่ายยา แต่ครอบครัวเลือกที่จะไม่รักษาด้วยการผ่าตัดเพราะอยากให้ “นายมุข” จากไปอย่างสงบ จึงขอยืนยันว่า จนวาระสุดท้ายของ “นายมุข” ก็ยังไม่ได้เป็นผู้ป่วยติดเตียง

 

แต่สาเหตุที่จำลูกชายคนรอง 3 คนไม่ได้ เพราะลูกทั้ง 3 คนนี้ไม่เคยมา ดูแลทำแค่ แลดู เพราะมาหาแต่ละทีก็เพื่อเซ็ตฉากถ่ายคลิป อย่างคลิปในโรงพยาบาลที่เผยแพร่ออกไป ก็ทำทีว่าพาภรรยากับลูกๆ มาเยี่ยมพ่อช่วงปีใหม่ แต่มารู้ทีหลังว่าคลิปเหล่านั้นถูกนำไปใช้ในศาลเพื่อต้องการส่วนแบ่งมรดก ทั้งที่ตนได้พูดไว้ก่อนหน้านี้แล้วหลังเปิดพินัยกรรมว่า อย่านำไปใช้เป็นหลักฐานในชั้นศาล เพราะมันเป็นเรื่องของภายในครอบครัว ซึ่งพฤติกรรมแบบนี้ถือว่าใช้ไม่ได้

ต่างจากลูกชายคนโตที่มาเยี่ยมทุกวัน เช้า-เย็น คอยหาพยาบาลมาดูแลเป็นอย่างดี ทำให้ “นายมุข” ถึงจำชื่อได้ และมีความสุขกับการใช้ชีวิตร่วมกัน เพราะก่อนเสียชีวิต “นายมุข” ยังมีลูกเล่น เล่นมุกอารมณ์ดีกับตนและลูกชายคนโตอยู่เป็นปกติ ดังนั้น จึงขอยืนยันว่า ตนกับลูกชายคนโตไม่เคยปิดกั้นหรือกีดกันให้ลูกชายคนรองทั้ง 3 คนเข้ามาเยี่ยม “นายมุข” เลย

และสิ่งที่เสียใจมากที่สุดคือการที่ลูกชายคนรองทั้ง 3 คนใช้วาจาดูถูกตนซึ่งเป็นแม่ผู้บังเกิดเกล้า สร้างความเสียใจให้กับตนมากและไม่เคยคิดว่าลูกทั้ง 3 คนจะเป็นแบบนี้ เพราะที่ผ่านมาลูกอยากเรียนอะไรก็สนับสนุนให้ดีที่สุด ทั้งเรื่องของการทำงานด้วย โดยก่อนที่ “นายมุข” จะเขียนพินัยกรรม ด้านลูกชายคนรองทั้ง 3 คนที่ทำงานอยู่ในระดับคณะผู้บริหารของ 3 สถาบันการศึกษา มีเงินเดือนให้ แต่ไม่ทำงาน ไม่เข้ามาเซ็นสัญญาว่าจ้างรายปี ตั้งใจจะแสดงพฤติกรรมเลื่อมล้ำระหว่างพนักงานคนอื่น กับบุคคลที่เป็นทายาท ต่างจากลูกชายคนโตที่เข้ามาเซ็นสัญญาฯและเข้ามาแสดงตัวเข้า-ออกที่ทำงานทุกวัน ปฏิบัติทุกอย่างเท่าเทียมกัน

 

ส่วนเรื่องเงินกองทุนจำนวน 134 ล้านบาทที่ลูกชายคนรอง 3 คนสงสัยว่าไปอยู่ที่ไหน วันนี้ตนก็อยากจะย้อนถามว่าทำไมไม่คิดสงสัยในตัวของพวกเขาเองบ้าง เพราะทั้ง 3 คนตนขอเบิกเงินจากตนไปสร้างบ้านคนละ 10 ล้านบาท ซึ่งแต่ละหลังใหญ่โตราวคฤหาสน์ ตนก็ต้องเอาเงินจากส่วนนี้ให้ ต่างจากบ้านของตนกับสามีหรือ “นายมุข” ที่อยู่กันแบบธรรมดา และก่อนที่จะเกิดปัญหา ตนก็ให้ค่าใช้จ่ายเป็นเงินกินเปล่ากับลูกชายคนรองทั้ง 3 คนเดือนละ 100,000 บาท มีการให้นอมินีตกแต่งเอกสารมาหลอกเพื่อเบิกเงิน อ้างว่านำไปตกแต่งซ่อมแซมบ้านบ้าง ทำบ่อปลาคาร์ฟเหยียบล้าน ซื้อปลาคาร์ฟตัวละ 10,000 บาท ทำอ่างอาบน้ำใบละ 200,000 บาท ค่าซื้อรถคันละ 5 ล้านบาทพร้อมทำประกัน ค่าคนรับใช้ ค่าน้ำ-ค่าไฟ 3 บ้านเดือนละหลายหมื่น ค่าคนเลี้ยงลูก ค่ารักษาลูก(หลาน)ป่วย ค่าภรรยาคลอด ซึ่งทั้ง 3 คนไม่ให้ภรรยาคลอดที่โรงพยาบาลที่ “นายมุข“ เป็นผู้อุปถัมภ์ แต่เลือกคลอดที่โรงพยาบาลเอกชนซึ่งมีค่าใช้จ่ายเยอะ ซึ่งทั้งหมดนี้ ลูกชายคนรอง 3 คนล้วนใช้สิทธิ์การเป็นบุคลากรของสถาบันการศึกษา มาขอเบิกจากตนทั้งสิ้นและทุกรายการมีหลักฐานการเบิก

จนพักหลังตนเห็นว่าเงินที่ “นายมุข” เก็บไว้บริหารสถาบันฯเริ่มหมด จึงสั่งงดการเบิกทุกอย่าง จนเป็นที่มาของการที่ลูกชายคนรอง 3 คนจะเป็นผู้อนุบาลดูแลทรัพย์สิน แล้วใส่ร้ายว่าพ่อหรือ “นายมุข” ไร้สติ

 

และที่สำคัญเงินส่วนใหญ่ที่ทั้ง 3 คนมาเบิกเป็นการเบิกแบบปัจจุบันทันด่วน จึงต้องใช้วิธีเขียนเช็ค โดยยืมเงินจากระบบของสถาบันต่างๆออกไป จนกระทั่งฝ่ายตรวจสอบเข้ามาตรวจ เป็นเหตุให้มีการเบิกเงินกองทุนส่วนนี้ออกมาเพื่อนําไปชดใช้เข้าบัญชีของทั้ง 3 สถาบัน เพื่อมิให้เกิดการขาดสภาพคล่อง และการเบิกแต่ละครั้งก็เป็นการเดินทางไปทําธุรกรรมด้วยตัวของ “นายมุข” โดยเจ้าหน้าที่ของธนาคารทั้งที่สาขาและสํานักงานใหญ่มีการบันทึกคลิปไว้ตรวจสอบทุกขั้นตอน

โดยเฉพาะ “นายจักริน” ลูกชายคนที่ 4 ได้เอาไปคนเดียว 60 ล้านบาท เพื่อปรนเปรอผู้หญิงที่ทำท้อง จน “นายมุข” ต้องแบกสังขารเอาเช็คเงินสดไปทำขวัญให้กับครอบครัวฝ่ายหญิงที่กรุงเทพฯถึง 2 ล้านบาท จนกระทั่งทุกวันนี้ตนก็ยังไม่มั่นใจเลยว่าเด็กที่คลอดออกมา ใช่หลานของตนไหม และนี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ “นายมุข” เริ่มป่วย เนื่องจากการเดินทางไกลและเครียด

สำหรับคลิปที่มี “นายมุข” เซ็นเอกสารบางอย่างนั้น ไม่ได้เป็นอาการของคนป่วยอัลไซเมอร์ แต่เป็นเพราะเหตุการณ์ตอนนั้น “นายมุข” เพิ่งตื่นนอนใหม่ๆ ซึ่งในวัย 90 ปี ย่อมมีสมรรถภาพในการได้ยินเพียงแค่ 40 เปอร์เซ็น จึงต้องมีการพูดเสียงดัง และคอยชี้แนะตามคลิป

 

ส่วนที่ดิน 300 ไร่มูลค่า 5,000 ล้านบาท ด้านของ “นางปราณี” บอกว่าตนเพิ่งทราบเหมือนกันว่าทายาททั้ง 3 คนได้นำที่ดินทั้งหมดไปตีราคา ซึ่งไม่แน่ใจว่าตั้งใจจะทำอะไร แต่อยากจะบอกว่าที่ดินดังกล่าวส่วนใหญ่ล้วนเป็นที่ตั้งของสถาบันการศึกษาทั้ง 3 แห่ง แบ่งเป็นที่ดินของโรงเรียนฯ 20 ไร่ ของวิทยาลัยฯ 80 ไร่ ของมหาวิทยาลัยฯ 129 ไร่ ที่จะต้องโอนให้เป็นไปตามกฎหมายของแต่ละสถาบันการศึกษานั้นๆ และเป็นความประสงค์ของ “นายมุข” แต่ในช่วงที่ “นายกิตติ” เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยฯ ได้หลีกเลี่ยงไม่ยอมดําเนินการ แม้ทางสภามหาวิทยาลัยพยายามทวงถามเร่งรัด ก็ยังเพิกเฉย เพราะมีความตั้งใจรวมหัวกันกับบรรดาสะใภ้ที่จะไม่สานต่อเจตนาทําสถาบันการศึกษาต่อ จึงปล่อยให้ถดถอย ซบเซา และการที่บอกว่ามีการโอนที่ดินให้กับบุคคลอื่น ซึ่งบุคคลอื่นนั้นคือตนเองที่เป็นแม่ หรือ “นางปราณี” ภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของ “นายมุข”

นอกจากนี้ “นางปราณี“ ยังเล่าอีกว่า ลูกชายคนรอง 3 คนพากันไปที่อําเภอ แล้วแจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่าขอตรวจดูทะเบียนสมรสของ “นางปราณี” กับ “นายมุข” เพื่อเช็กว่ามีการจดทะเบียนสมรสจริงไหม ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ไม่สามารถค้นเจอประวัติการจดทะเบียนสมรส ทำให้ทั้ง 3 คนดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่ รีบไปโพสต์ในเฟซบุ๊กของสะใภ้ว่า “#ฟ้ามีตา #เงินพันล้านใกล้แค่เอื้อม” ซึ่งในความเป็นจริง ตนเก็บทะเบียนสมรสไว้ที่บ้านของลูกชายคนโต จึงไม่พบที่อำเภอ ก็ทําให้ลูกชายคนรองและสะใภ้ทั้ง 3 คนฝันสลาย

อีกทั้งยังชี้แจงถึงกรณีที่ “นายสมรัฐ” พูดถึงการโอนใบอนุญาตจัดตั้งทั้ง 3 สถาบันจากชื่อของ “นายมุข” เป็นชื่อบุคคลอื่นนั้น ซึ่งบุคคลนั้นคือตนเอง และ “นายมุข” ก็เต็มใจที่จะมอบใบอนุญาตทั้ง 3 สถาบันให้แก่ตนแต่เพียงผู้เดียว ดังนั้นก็ต้องยอมรับว่าตนต้องรีบฉวยโอกาสเพื่อปกป้องให้ทรัพย์สินของตนกับสามีไม่ให้ตกไปเป็นของพวกเนรคุณ ที่จะทำให้น้ำพักน้ำแรงและหยาดเหงื่อของเราต้องสูญสิ้นไป

 

ส่วนเรื่องของพินัยกรรม “นางปราณี” อธิบายว่าวันที่ทำพินัยกรรมในปี 2564 วันนั้นจะมีทนายซึ่งเป็นคนจัดการเรื่องของข้อความตามที่ “นายมุข” ต้องการและมีตนซึ่งเป็นภรรยาและมีพยานเซ็นตามที่กฎหมายระบุ 2 คน ยืนยันว่าไม่ใช่พินัยกรรมปลอม แต่เป็นพินัยกรรมของจริง และขอเปิดเผยต้นฉบับในชั้นศาลเท่านั้น ส่วนเหตุผลที่ “นายมุข” ยกมรดกทั้งหมดให้กับลูกชายคนโต เพราะอย่างที่บอกไปในตอนต้นว่าลูกชายคนโตมาเยี่ยมเช้า-เย็นและมาทุกวัน จึงจำชื่อได้เป๊ะ ส่วนลูกชายคนรองอีก 3 คนไม่ได้มาดูแล มีเพียงแค่มาแลดู จึงทำให้ “นายมุข“ จำชื่อไม่ได้เลยสักคนเดียว จึงตัดทั้ง 3 คนออกจากกองมรดก

ยอมรับว่าตอนนี้มีกระแสข่าวพูดถึงตระกูล ว่ามีความด่างพร้อย ซึ่งตนมองว่าความด่างพร้อยนี้เกิดจากทายาทคนรองทั้ง 3 คนและสะใภ้เท่านั้น เพราะคนอื่นๆในตระกูลสร้างความดี ช่วยเหลือสังคม ชุมชนและประเทศชาติมาตลอด

แล้วเรื่องของการจัดงานศพ “นายมุข” ที่ลูกชายคนรอง 3 คน บอกว่ามีเงื่อนงำนั้น ตนฟังแล้วก็รู้สึกสงสัยว่าคิดแบบนั้นได้ยังไง เพราะก่อนที่ “นายมุข” จะเสียชีวิต ไม่เคยพูดว่าจะให้นำศพไปฝังที่ฮวงซุ้ย เพราะฮวงซุ้ย ดังกล่าวนั้นเป็นของพ่อแม่ของ “นายมุข” และภายหลังเปลี่ยนจากการฝังมาเป็นการฌาปนกิจศพตามปกตินานแล้ว แม้ว่าจะเป็นเชื้อสายจีนก็ตาม ดังนั้นงานศพที่จัดตั้งแต่ 11-16 ธันวาคม 2566 เป็นไปตามความประสงค์ของ “นายมุข” ทั้งหมด ตามที่เขาสั่งเสียไว้ว่าขอความเรียบง่ายที่สุดและไม่ยุ่งยาก

 

ท้ายที่สุด “นางปราณี” ยังบอกอีกว่า ทำไมทั้ง 3 คนไม่พูดความจริงที่รวมหัวกันไปยื่นคำร้องขอเป็นผู้อนุบาล “นายมุข” เพื่อที่จะเข้ามาล้างผลาญทรัพย์สินที่ “นายมุข” กับตนทำกันมาทั้งชีวิตและที่ทำเป็นรู้ดีว่าอัลไซเมอร์ไม่สามารถรักษาให้หายได้ ก็อยากถามกลับว่าได้เรียนหมอมาหรือยังไง ถึงพูดแบบนั้น พร้อมฝากให้คิดว่า “ฉันเลี้ยงดูมาจนทุกวันนี้ เป็นพ่อคนแล้ว อยากถามว่ามีปัญญาเลี้ยงลูกเมีย หาเงินเองบ้างหรือยัง”

และ “นางปราณี” บอกย้ำอีกว่าที่เรื่องมันบานปลายถึงขนาดนี้เพราะตนไม่อยากให้ทรัพย์สินที่ตนเองกับสามีหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงต้องหายไปกับพวกเนรคุณ และการที่พวกลูกทั้ง 3 คนถูกตัดออกจากกองมรดก เป็นเรื่องที่สมควรแล้วเพราะคนกลุ่มนี้คือความด่างพร้อยของวงศ์ตระกูลที่แท้จริง

ในขณะเดียวกัน ดร.ณัฐวัฒม์ ลูกชายคนโตของ “นายมุข” ไม่ได้นั่งโต๊ะร่วมแถลงข่าว แต่ได้มีการนั่งสังเกตการณ์ฟังการแถลงอยู่บริเวณด้านหลังของสื่อมวลชน หลังจากที่การแถลงเสร็จสิ้น อธิการเต้ยลุกขึ้นเดินไปจูงมือคุณแม่พร้อมด้วยมอบช่อดอกไม้ให้กับคุณแม่ ก่อนเดินออกจากห้องประชุมขึ้นรถพาคุณแม่กลับบ้าน

 

ระหว่างนั้นทีมข่าวได้สอบถามพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องราวพินัยกรรมที่เกิดขึ้น เจ้าตัวยอมรับว่าช่วง 16.30 น. ของวันนี้จะเป็นนัดขึ้นศาลจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นกระบวนการไกล่เกลี่ย โดยน่าจะเป็นโอกาสแรกที่พี่น้องทั้ง 4 คนจะได้มีโอกาสพูดคุยเรื่องพินัยกรรมกันอย่างเป็นทางการ โดยไม่ผ่านคนกลาง ซึ่งก็ต้องรอดูว่าน้องชาย 3 คนจะรับเงื่อนไขในพินัยกรรมได้แค่ไหน

เพราะส่วนตัวเองก็ยอมรับว่าครั้งแรกที่รู้รายละเอียดในพินัยกรรม ก็รู้สึกได้ว่าตัวเองมีภาระหนักมากที่ต้องดำเนินการต่อ ไม่ได้มีความรู้สึกอื่นเข้ามาในหัว ส่วนปฏิกิริยาของน้องชายอีก 3 คนยอมรับว่าไม่ได้ดูจึงไม่รู้ว่าเป็นยังไงกันบ้าง

แต่ถ้าถามถึงโอกาสที่ตัวเองจะใช้สิทธิ์พี่ชายคนโตซึ่งได้รับมรดกของพ่อแต่เพียงผู้เดียว มาแบ่งสันปันส่วนใหม่ให้กับน้องชายอีก 3 คน เจ้าตัวบอกเพียงแค่ว่า “ผมจะทำให้ดีที่สุด” และเชื่อว่าจากการพูดคุยในช่วงเย็นของวันนี้จะทำให้หลายอย่างดีขึ้น ลดความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุการณ์รุนแรง เพราะตอนนี้สิ่งที่ตนกังวลมากที่สุดนั่นคือสภาพจิตใจของแม่ที่บอบช้ำมาก

 

หลังจากแถลงข่าวเสร็จ ผู้สื่อข่าวมีโอกาสได้สอบถามกับ “นางปราณี” เพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้ชีวิตอยู่ของลูกชายคนรองทั้ง 3 คนหลังจากนี้ ซึ่งยังอยู่ในพื้นที่รั้วใหญ่เดียวกันคือพื้นที่วิทยาลัยฯ เจ้าตัวบอกว่า “ไม่ติดใจถ้าทายาททั้งสามคนยังอยู่ในบ้านทั้งสามหลังที่อยู่ในพื้นที่ของวิทยาลัย แต่ถ้าจะออกก็ออกได้ ถ้าจะอยู่ก็อยู่ได้ ตนก็ยินดีที่จะจ่ายค่าน้ำค่าไฟให้เหมือนเดิม”

และเมื่อสื่อถามถึงหลักมนุษยธรรมของความเป็นแม่ที่มีต่อลูก ว่าสามารถตัดลูกชายคนรองทั้ง 3 คนออกจากกองมรดกตามที่ระบุพินัยกรรมได้จริงๆหรือ แล้วจะมีโอกาสไหมที่ “นางปราณี” จะกลับมาตัดสินใจแบ่งมรดกให้กับลูกทั้ง 4 คนเท่าๆกัน โดย “นางปราณี” ก็ยืนยันว่าเหตุผลที่ไม่ได้มีการแบ่งสันปันส่วนอย่างเท่ากัน เนื่องจากพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของทายาทคนรองทั้ง 3 คน ซึ่งไม่มีความดี เอาแต่ใช้เงิน เบิกเงินไปใช้ ไม่ทำงาน ไม่หากิน ไม่เก็บเงิน เชื่อว่าอนาคตวันหนึ่งเงินก็ต้องหมด จึงยืนยันว่าตัวเองมีมนุษยธรรมพอ แต่ทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นจากการกระทำของพวกเขาเอง ตนไม่ลำเอียง แค่ทุกคนเกิดมาพร้อมกับกรรมแต่ละคน

พร้อมบอกว่าไม่ได้มีการกีดกันให้ลูกชายคนรองทั้ง 3 คนเข้าพบ แต่ทั้ง 3 คนไม่มาเองและจะเข้ามาแค่วันที่ต้องสร้างภาพถ่ายคลิปเท่านั้น พร้อมกับยืนยันอีกว่าเรื่องนี้ไม่มีบุคคลภายนอกเข้ามาเกี่ยวข้องตามที่ฝั่งลูกชายคนรอง 3 คนสงสัย ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องของคนในครอบครัวและบางเรื่องที่นอกเหนือจากพินัยกรรมก็เป็นการตัดสินใจของตน จึงขอเดินหน้าในกระบวนการชั้นศาลจนที่สุด และถ้าจะมีการไกล่เกลี่ยก็ขอไกล่เกลี่ยในชั้นศาลเท่านั้น

 

ส่วนเรื่องของลายเซ็นทั้ง 2 ส่วนที่ไม่เหมือนกันนั้น “นางปราณี” ยืนยันในฐานของคนที่อยู่ขณะมีการเขียนพินัยกรรม โดยมีทนายคอยเขียนให้ตามความประสงค์ของ “นายมุข” รวม 3 คน ว่าเป็นลายเซ็นของ “นายมุข” แต่เพียงผู้เดียว ซึ่ง ที่ถูกตั้งข้อสงสัยว่ามีความแตกต่างกันนั้นทางตนก็ยินดีที่จะให้ทางผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ

 

3 ทายาทแถลงโต้ สงสัยมีคนบงการแม่

หลังจากที่นางปราณี แถลงข่าวเสร็จสิ้น ทีมข่าวจึงย้อนกลับไปถามฝั่งของทายาททั้ง 3 คนอีกครั้ง โดยทั้ง 3 คนชี้แจง และยืนยันว่าแพทย์ที่เป็นคนระบุในเอกสารว่า นายมุขเป็นผู้ป่วยสมองเสื่อม เป็นแพทย์ที่รักษาคุณพ่อมาตั้งแต่แรกก่อนที่จะเริ่มป่วยเป็นโรคสมองเสื่อมเมื่อเดือนกันยายน 2563

โดยเอกสารดังกล่าวคือใบเวชระเบียน ซึ่งเป็นประวัติการรักษา และถือว่ามีความสำคัญยิ่งกว่าใบรับรองแพทย์ จึงขอยืนยันว่าข้อมูลที่ระบุในเอกสารฉบับนี้เป็นความจริงทุกอย่าง

 

ส่วนประเด็นที่คุณแม่กล่าวหาว่าทั้ง 3 คนไม่เคยเข้าไปเยี่ยมคุณพ่อ ตั้งแต่เริ่มป่วย ยืนยันว่าเข้าไป ซึ่งในตอนแรกคุณแม่ก็ต้อนรับและดีใจที่ลูกหลานเข้าไปเยี่ยม แต่ช่วงหลังคุณแม่เริ่มกีดกันไม่ให้เข้าและเริ่มอารมณ์เสียใส่ เหมือนมีใครคอยชักจูงใจให้คุณแม่เริ่มเกลียดพวกเขา มีการปิดล็อกประตูหน้าบ้าน อ้างว่ามีการก่อสร้าง ส่วนกำแพงด้านหลัง ยังจ้างช่างมาก่ออิฐปิดทางเชื่อมต่อระหว่างบ้านพวกเขากลับบ้านคุณแม่ จึงทำให้พวกเขาทั้ง 3 คนถูกกีดกันไม่ให้เข้าไปเยี่ยมคุณพ่อ ส่วนบ้านของพี่ชายคนโต จะอยู่ติดกับรั้วบ้านของพ่อกับแม่อยู่แล้ว

ส่วนประเด็นเรื่องของเงิน 134 ล้าน ที่คุณแม่กล่าวหาว่าพวกเขาน่าจะรู้ดีว่าเงินทั้ง 134 ล้านหายไปไหน ยืนยันว่าพวกเขาทั้ง 3 คนไม่ได้เกี่ยวข้องกับเงินกองทุน 134 ล้าน และเท่าที่ทราบมาคุณพ่อใช้เป็นเงินฝากกองทุนที่เก็บไว้กินดอกเบี้ย และมีสำรองไว้หากธุรกิจมีปัญหา ก็ต้องเบิกมาใช้จ่าย

ส่วนประเด็นเรื่องของการสร้างบ้าน การต่อเติมบ้าน คุณพ่อจะเป็นผู้วางระบบไว้ตั้งแต่แรกว่าหากลูกชายทั้ง 4 คน มีการสร้างบ้านหรือต่อเติมบ้านก็ให้สามารถนำใบเสร็จมาแจ้งและนำเงินไปใช้จ่ายได้เลย โดยคุณพ่อและคุณแม่ก็ไม่เคยบอก ว่าเงินทั้งหมดเป็นเงินส่วนไหน ซึ่งทุกคนเข้าใจว่าเป็นเงินกงสีมาโดยตลอด รวมถึงเงินซื้อรถคันใหม่ ค่าใช้จ่ายต่างๆ รวมถึงเงินการสร้างบ่อปลาคราฟก็ยอมรับว่า ได้ขอเบิกกับคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งก็มีบ้างบางครั้งที่ค่าใช้จ่ายมากเกินไปคุณพ่อก็จะบ่น ว่าเริ่มสิ้นเปลือง เพราะนิสัยส่วนตัวคุณพ่อเป็นคนประหยัด

 

และขอยืนยันว่าเงินสร้างบ้านของพวกเขาทั้ง 3 คน ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเงิน 134 ล้านบาท เพราะบ้านหลังสุดท้ายบ้านของน้องชายคนเล็กสร้างเสร็จเมื่อปีพ.ศ. 2564 แต่เงิน 134 ล้านบาทที่หายไป เริ่มหายไปตั้งแต่ต้นปี 2565 ซึ่งอยู่ในช่วงหลังจากที่บ้านทั้งสามหลังหลังก่อสร้างเสร็จแล้ว

ส่วนประเด็นที่คุณแม่กล่าวหาว่าบ้านของน้องชายคนสุดท้อง มีการจ้างนอมินี ตกแต่งบัญชีขึ้นมา เพื่อเบิกค่าใช้จ่ายในการสร้างบ้างเกินงบ นายสมรักษ์กับนายกิตติ ลูกชายคนที่ 2และ 3 ยืนยันว่า ผู้รับเหมาที่มาสร้างบ้าน เป็นผู้รับเหมาที่คุณแม่แนะนำมาซึ่งเป็นผู้รับเหมาที่ก่อสร้างอาคารมหาวิทยาลัย

ขณะที่นายจักริน แม้จะไม่ได้จ้างผู้รับเหมาเดียวกับพี่ชาย แต่ก็ยืนยันว่าทุกค่าใช้จ่าย เบิกตามจริงและมีใบเสร็จยืนยันทุกครั้ง

ส่วนประเด็นที่คุณแม่พูดถึงการคลอดบุตรของลูกของพวกเขา เลือกใช้บริการโรงพยาบาลเอกชน ทั้งทีแนะนำว่าให้ใช้โรงพยาบาลรัฐที่อุปถัมภ์อยู่นั้น นายสมรัฐบอกว่าประเด็นนี้ได้สอบถามคุณแม่ตั้งแต่ก่อนคลอดแล้วว่าขอคลอดโรงบาลเอกชน ซึ่งทางคุณแม่ก็ตกลง และแนะนำให้เลือกโรงพยาบาลที่สะดวกสบาย และยังออกค่าใช้จ่ายให้ แถมยังเป็นคนไปอุ้มหลานออกจากโรงพยาบาลด้วยตนเองด้วยซ้ำ ซึ่งตอนนั้นก็ไม่เห็นจะติดใจประเด็นอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้

 

ส่วนประเด็นของนายจักริน น้องชายคนสุดท้อง ที่คุณแม่กล่าวหาว่านำเงินไปใช้ส่วนตัว 60 ล้านบาท ในการปรนเปรอผู้หญิง แถมยังทำผู้หญิงท้องจนต้องหอบเงิน 2 ล้านไปช่วยรับผิดชอบฝ่ายหญิง นายจักรินตอบว่าผู้หญิงตั้งท้องในวันนั้น ก็คือภรรยาของเขาคนปัจจุบัน และมีลูกด้วยกันแล้วถึง 2 คน ส่วนเงิน 2 ล้านบาทที่นำไปรับผิดชอบ ก็เป็นเงินค่าสินสอดที่ลูกชายทั้ง 4 คนจะได้เหมือนกัน เพื่อนำไปแต่งงานกับผู้หญิง

ส่วนเงิน 60 ล้านที่คุณแม่กล่าวหาว่าเขาเอาไปปรนเปรอผู้หญิงผู้หญิงนั้น ยืนยันว่าไม่มีและเป็นไปไม่ได้ เพราะการจะเบิกจ่ายแต่ละอย่างจะต้องมีใบเสร็จมายืนยัน จึงเป็นไปไม่ได้ที่ทางพ่อกับแม่นั้นจะให้เงินสดมาเปล่าๆ ทีเดียว 60 ล้าน

ส่วนประเด็นที่ ทั้ง 3 คนถูกกล่าวหาว่าไม่ช่วยงาน ก็ไม่เป็นความจริง ที่ผ่านมาทั้ง 3 คน ช่วยงานทั้ง 3 สถาบันมาตลอด โดยเฉพาะนายสมรัฐที่มีตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการวิทยาลัย แต่อยู่ๆเดือนสิงหาคมปี 66 ก็ถูกปลดออกจากตำแหน่ง เหลือเพียงแค่ตำแหน่งบุคลากรของมหาวิทยาลัยเท่านั้น

ขณะที่นายกิตติเคยเป็นผู้ช่วยผู้จัดการของโรงเรียน และยังเคยดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัย ตั้งแต่ปี 2565 แต่ทำไปทำมาก็ถูกกดดันจนเขาต้องขอลาออกด้วยตนเอง ปัจจุบันเพียงตำแหน่งอาจารย์ในมหาวิทยาลัยเท่านั้น

 

ส่วนนายจักริน เดิมทีเคยเป็นพนักงานบริษัทเอกชน แต่ก็ถูกคุณพ่อเรียกกลับมาให้ทำงานในตำแหน่งรองคณบดี แต่เมื่อไม่นานมานี้ เพิ่งจะถูกปลดออกจากตำแหน่งรองคณบดี เหลือเพียงแค่ตำแหน่งอาจารย์ในมหาวิทยาลัยเท่านั้น

ซึ่งประเด็นที่คุณแม่บอกว่าเขาทั้ง 3 คนไม่มาเซ็นสัญญาเป็นลูกจ้างของสถาบันเหมือนบุคคลอื่นๆ ทั้ง 3 คน จึงย้ำในคำพูดของคุณพ่อที่เคยพูดไว้ว่าลูกทั้ง 4 คนไม่ต้องเซ็นสัญญาและไม่ต้องต่อสัญญาใดๆทั้งนั้น เพราะถือว่าเป็นลูกเจ้าของ ซึ่งในวันที่คุณพ่อกล่าวประโยคนี้คุณแม่ก็ รับรู้และอยู่ฟังด้วย

รวมทั้งที่คุณแม่พูดถึงเรื่องเสา 4 ต้น ซึ่งเปรียบเป็นลูกทั้ง 4 คน แล้วเสา 3 ต้นซึ่งหมายถึงพวกเขาถูกปลวกแทะ ซึ่งปลวกที่ว่าก็หมายถึงภรรยาพวกเขาทั้ง 3 คน ขอยืนยันว่าภรรยาพวกเขาทั้งสามคนไม่ได้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีบทบาทในการแทรกแซงงานบริหารที่เกี่ยวกับวงศ์ตระกูล

 

ส่วนประเด็นเรื่องที่ดินทั้งหมด 300 ไร่มูลค่า 5000 ล้านบาท ซึ่ง เป็นที่ดินของทั้ง 3 สถาบัน ตามพระราชบัญญัติปี 2552 ระบุไว้ว่า การจัดตั้งสถานศึกษาจะต้องมีเนื้อที่ไม่ต่ำกว่า 70 ไร่ ซึ่งส่วนตัวมองว่าสถาบันทั้งสามแห่งของคุณพ่อได้จัดตั้งขึ้นมาก่อนที่จะมีพระราชบัญญัติตัวนี้ออกมา ซึ่งไม่จำเป็นที่จะต้องไปโอนที่ดินทั้งหมดไปเป็นของสถานศึกษา เพราะทั้งสามคนเกรงว่าหากเลิกกิจการขึ้นมา ที่ดินทั้งหมดตกไปเป็นของผู้ถือใบอนุญาตก่อตั้งสถานศึกษา ซึ่งในอนาคตผู้ถือใบอนุญาตอาจจะเป็นพี่ชายคนโต

สุดท้ายนายจักริน น้องชายคนเล็กก็เป็นตัวแทนในการกล่าวความรู้สึกในใจต่อคุณแม่ ว่าการที่คุณแม่ออกมาแถลงข่าวในวันนี้แม้จะพูดถึงพวกเขาทั้ง 3 คนในทางไม่ดี แต่พวกเขาก็ไม่เคยคิดโกรธคุณแม่ เพราะคุณแม่เลี้ยงดูพวกเขาเป็นอย่างดีมาโดยตลอด แต่การที่คุณแม่ออกมาพูดแบบนี้น่าจะมีบุคคลภายนอกชักจูงใจและต้องการใช้ในการเป็นเกาะกำบัง

 

เปิดคลิปแม่ขู่ตัดทายาท จากกองมรดกหมื่นล้าน

ล่าสุดทีมข่าวได้รับหลักฐานจากด้านของลูกชายคนรอง 3 คน ซึ่งเป็นคลิปเสียงที่ “นางปราณี” พยายามพูดคล้ายข่มขู่ว่าหาก “นายกิตติ” ลูกชายคนที่ 3 ไม่ลาออกจากตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยฯ จะตัดออกจากกองมรดก ซึ่งเป็นคลิปเสียงที่บันทึกไว้ก่อนที่ “นายกิตติ” จะออกจากตำแหน่งอธิการบดีในปี 2565

เมียเจ้าสัวตัด 3 ลูกชายพ้นมรดกหมื่นล้าน ฉะถลุงทรัพย์เปย์เมีย อีกฝ่ายโต้ถูกแม่บีบ