กรณีสาวนามสกุลดังรายหนึ่ง มีการร้องขอความช่วยเหลือไปยังนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้ช่วยเหลือติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับคดีหนุ่มไฮโซ ลูกชายนักการเมืองคนดัง ปรากฏภาพมีการฉุดกระชากเข้าไปภายในบ้านเพื่อหวังขืนใจ และทราบต่อมาว่า ชายหนุ่มไฮโซคนดังกล่าวเป็นเพื่อนสนิทกับแฟนหนุ่มของผู้หญิงผู้เสียหาย ตามที่มีการเสนอข่าวไปแล้วนั้น




ล่าสุดวันนี้ (13 ก.พ. 2567) ทีมข่าวได้เดินทางไปที่สี่แยกไฟแดง ซึ่งบริเวณดังกล่าวเป็นจุดใต้แนวรถไฟฟ้า ตามที่พยานระบุว่า มีการพาสาวผู้เสียหายมาส่งบริเวณดังกล่าว ก่อนที่จะโบกแท็กซี่มุ่งหน้าปลายทางที่บ้านย่านสาทร โดยเส้นทางดังกล่าวเป็นถนนศรีนครินทร์ อยู่ห่างจากบ้านที่เกิดเหตุประมาณ 300 เมตรโดยประมาณ และในช่วงกลางคืนจะค่อนข้างเงียบและมีรถสัญจรน้อย

ทีมข่าวตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณเกิดเหตุ ช่วงเวลาประมาณ 03.37 น. ของวันที่ 4 ก.พ. มีภาพจากกล้องวงจรปิดจับภาพรถมอเตอร์ไซค์ของเด็กที่เป็นพลเมืองดีพาผู้เสียหายนั่งซ้อนสาม ขี่วิ่งมาตามถนนศรีนครินทร์ หลังจากที่ออกมาจากซอยบ้านที่เกิดเหตุ เพื่อพาผู้เสียหายไปจอดและส่งที่แยกไฟแดงตรงป้ายรถเมล์ โดยมีภาพจากกล้องวงจรปิดหลายมุมจับภาพเอาไว้ได้

และหลังจากนั้น มีกล้องวงจรปิดใกล้ป้ายรถเมล์ ซึ่งเป็นกล้องวงจรปิดของคลินิกแห่งหนึ่ง ภาพผู้เสียหายเดินไม่ใส่รองเท้า ลักษณะกึ่งเดินกึ่งวิ่ง ไปพูดคุยกับป้อม รปภ. ระหว่างนั้นเริ่มมีคนเข้ามาดูเหตุการณ์ และยืนอยู่ด้วยที่บริเวณหน้าคลินิก ก่อนที่จะเห็นรถตำรวจสายตรวจเข้ามาถึงที่เกิดเหตุ




ด้านนางสาวมิ้น (นามสมมติ) พลเมืองดี คนที่ช่วยเหลือผู้เสียหาย เผยว่า ในคืนนั้น ตนเองขี่รถมากับเพื่อน กำลังจะไปเอาเสื้อผ้าที่บ้านเพื่อนก่อนที่จะไปโรงเรียน แต่ระหว่างที่ขี่รถผ่านจุดเกิดเหตุ สังเกตเห็นว่ามีชายกับหญิงกำลังยืนทะเลาะกัน แต่ช่วงที่รถของตนเองกำลังชะลอเพื่อดูเหตุการณ์ ปรากฏว่าผู้หญิงได้กระโดดขึ้นมานั่งซ้อนท้าย และบอกตนเองเร่งเครื่องออกไป สภาพของผู้หญิงอยู่ในอาการตื่นตกใจ ไม่สวมใส่รองเท้า และอยู่ในอาการเมา แต่พูดจารู้เรื่อง โดยมีการพยายามบอกกับตนเองให้ช่วยเหลือ เพราะเนื่องจากถูกชายคนที่ยืนอยู่พยายามข่มขืน และตนเองพยายามที่จะถามผู้ชายคนดังกล่าวว่าเป็นอะไรกับผู้หญิง ชายคนดังกล่าวไม่ตอบใด ๆ ก่อนที่จะเดินหนี ตนเองจึงตัดสินใจกระโดดลงจากรถ และเปลี่ยนจากตำแหน่งที่นั่ง ไปนั่งปิดท้ายให้กับผู้เสียหาย แล้วให้เพื่อนผู้ชายรีบขี่รถออกไปจากที่เกิดเหตุ

โดยเหตุการณ์ในวันนั้น จากพฤติกรรมของฝ่ายชายและพฤติกรรมของฝ่ายหญิง ตนเองเชื่อในคำพูดของผู้หญิงมากกว่า เพราะเจ้าตัวอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เนื่องจากเมา ประกอบกับไม่สวมใส่รองเท้า ตนเองจึงเชื่อว่าในขณะนั้นคงจะหนีอะไรบางอย่างมา เพราะด้วยพฤติกรรมที่ตนเองเห็นจากฝ่ายหญิง จึงเชื่อได้ว่าน่าจะถูกกระทำจนทำให้ตกใจกลัวแล้วมาขอความช่วยเหลือ แต่ฝ่ายชายไม่มีการพูดหรือให้ข้อมูลอะไร ตนเองจึงเชื่อว่าน่าจะเป็นผู้ก่อเหตุ

สำหรับใบหน้าของผู้ชายคนก่อเหตุนั้น ตนเองแม้ว่าจะเห็นว่าเป็นผู้ชายสูงใส่แว่น แต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร เพราะไม่เคยเจอหน้ามาก่อน แต่เพิ่งมารู้ตามที่ปรากฏเป็นข่าวว่า เกี่ยวข้องกับบ้านหลังใหญ่ใกล้กับที่เกิดเหตุที่ตนเองไปช่วยเหลือ




ขณะเดียวกัน ทีมข่าวยังได้ไปพูดคุยกับนายชวนคิด (นามสมมติ) ลุงของเด็กที่ไปช่วยผู้เสียหายในฐานะพลเมืองดี และยังเป็นพยานที่ถูกตำรวจนครบาลเรียกสอบปากคำไปก่อนหน้านี้ เผยว่า เหตุการณ์ในคืนดังกล่าว หลานตนเล่าให้ตนเองฟังว่า หลานขี่รถออกไปเอาเสื้อนักเรียนที่บ้านเพื่อน ระหว่างที่ขี่รถผ่านรั้วบ้านใหญ่ เห็นมีชายหญิงกำลังยืนทะเลาะกัน ซึ่งหลานทั้ง 2 ได้มีการจอดรถเพื่อสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น

โดยได้มีการสอบถามว่า ทั้งคู่เป็นแฟนหรือผัวเมียกันหรือไม่ เพราะถ้าเข้าใจว่าเป็นเรื่องผัวเมียก็จะไม่เข้าไปยุ่ง แต่ปรากฏว่าฝ่ายชายตอบกลับมาว่า “ใช่ เป็นแฟนกัน” ขณะที่ฝ่ายหญิงที่กำลังถูกฉุดกระชาก ตอบกลับมาว่า “ไม่ได้เป็นอะไรกัน” ทำให้หลานจึงตัดสินใจช่วยเหลือ โดยพาผู้หญิงขึ้นซ้อนท้ายอัดสาม แต่ในขณะนั้นฝ่ายชายก็ยังมีพฤติกรรมฉุดกระชากต่อ เพื่อที่จะลากลงรถ กลุ่มหลานจึงตัดสินใจขี่รถออกจากที่เกิดเหตุเพื่อออกไปที่ปากซอย ไปส่งขึ้นรถที่บริเวณแยกศรีนครินทร์ บริเวณแยกไฟแดง ซึ่งมีป้ายรถเมล์ห่างออกจากที่เกิดเหตุประมาณ 300 เมตร ขณะที่ฝ่ายชายหลังจากที่ดึงชุดกระชากลงรถไม่ได้ ได้เดินกลับเข้าไปภายใน

หลังจากที่พาผู้หญิงคนนั้นไปถึงบริเวณสี่แยก ปรากฏว่า ฝ่ายหญิงได้ขอยืมโทรศัพท์ โดยอ้างว่าโทรศัพท์ตกในบ้าน โดยผู้หญิงคนดังกล่าวได้โทรศัพท์ไปหาแม่ และสักพักได้มีการพูดคุยคล้ายกับวิดีโอคอล แล้วผู้หญิงคนดังกล่าวก็โทรแจ้งแม่ให้ไปแจ้งตำรวจ และระหว่างนั้น หญิงผู้เสียหายก็บอกให้หลานช่วยขับไปส่งแถวสาทรได้หรือไม่ แต่หลานบอกว่าไม่รู้จักจึงส่งได้เพียงแค่สี่แยกดังกล่าว และผู้หญิงที่เป็นผู้เสียหายก็ได้โบกแท็กซี่กลับบ้าน




ส่วนตัวหลังจากทราบเรื่องจากหลาน หลังจากที่ช่วยเหลือผู้หญิงคนดังกล่าวได้แล้วก็กลับมาที่บ้าน เล่าเรื่องราวให้ฟัง ตนก็ไปที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นช่วงหลังเวลา 03.50 น. พบว่าในขณะนั้นเริ่มมีตำรวจนครบาลเข้ามาที่เกิดเหตุ ซึ่งไม่ใช่ตำรวจเขตพื้นที่และรับผิดชอบ สน.ประเวศ โดยมีทั้งตำรวจที่เป็นชุดสืบสวนและรวมถึงตำรวจที่เป็นหน้าห้องระดับผู้การฯ ลงมาดูเหตุการณ์ดังกล่าว และเดินว่อนกันทั่วซอย แต่ก็ไม่เจอตัวของคนก่อเหตุ เพราะยังไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับรูปพรรณสันฐาน ตำรวจจึงเดินหาตั้งแต่หลังตี 3 จนกระทั่งรุ่งเช้า ตนไปเจอตำรวจก็ยังสอบถามอีกที แต่ก็ยังไม่เจอตัวคนก่อเหตุ และถัดจากวันนั้นก็มีตำรวจลงพื้นที่มาต่อเนื่อง และเข้าใจว่ามีการเจอตัวแล้วด้วยซ้ำ ไม่คิดว่าจะล่าช้าหรือปล่อยลอยนวลจนกระทั่งถึงทุกวันนี้

สำหรับตนเอง ในฐานะที่เป็นผู้ปกครองและถูกสอบเป็นพยานในคดี ก็ยืนยันว่า เหตุการณ์ในวันดังกล่าวพบเห็นอะไร และหลานมาเล่าอะไรให้ฟัง ก็ได้มีการให้การไปตามนั้น ซึ่งทุกอย่างก็เป็นเพราะครอบครัวของตนเองไม่ได้มีส่วนรู้เห็นหรือส่วนได้ส่วนเสีย

โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตอนแรกตำรวจก็เอารูปพรรณสัณฐานซึ่งเป็นผู้ชายลักษณะสูง ใส่แว่น แต่เป็นภาพจากกล้องวงจรปิดขาวดำ เอามาให้ชาวบ้านรวมถึงตนเองดู ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร จนกระทั่งถูกระบุว่าเป็นคนในบ้านใหญ่ ซึ่งเป็นลูกหรือหลานของนักการเมืองชื่อดัง ตนเองจึงนึกขึ้นได้ว่าเป็นใคร แล้วก็ได้ให้การไปตามข้อเท็จจริงเกี่ยวกับรูปพรรณสัณฐานที่ตรงกับชายในบ้าน และเข้าใจว่าตำรวจก็มีการเข้าจับกุมหรือเรียกไปสอบแล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าถึงขั้นไปร้องออกสื่อและคดีไม่มีความคืบหน้าแบบนี้

ที่สำคัญ หากตนเองสังเกตจากพฤติกรรมของผู้หญิงคนดังกล่าวตามที่หลานเล่าให้ฟัง และข้อมูลที่ปรากฏเกี่ยวกับนามสกุล ซึ่งเป็นคนนามสกุลดัง แล้วอยู่ในย่านคนมีตังค์อย่างสาทร ตนเชื่อว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการดิสเครดิต หรือต้องการที่จะแบล็กเมล์อย่างที่ปรากฏเป็นข่าว





ขณะที่ นายอรรถกร ศิริลัทธยากร สส.ฉะเชิงเทรา เขต 2 และโฆษกพรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์ก่อนเริ่มประชุมพรรคพลังประชารัฐ ถึงกรณีที่บุตรชายของนายอภิชัย เตชะอุบล กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ถูกแจ้งความดำเนินคดีฐานทำร้ายร่างกาย กักขังหน่วงเหนี่ยว และกระทำอนาจารหญิงสาวรายหนึ่งว่า ทางพรรคพลังประชารัฐ มีความห่วงใยในเรื่องของการใช้ความรุนแรงกับสตรีมาโดยตลอด ซึ่ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้กำชับเรื่องการให้เกียรติซึ่งกันและกัน อีกทั้งยังสนับสนุนนโยบายด้านการให้ความช่วยเหลือสนับสนุนและพัฒนากลุ่มสตรีด้วย




นายอรรถกร กล่าวต่อว่า เรื่องดังกล่าวที่เกิดขึ้นขอให้เป็นไปตามกระบวนทางกฎหมาย เพื่อพิสูจน์หลักฐานข้อเท็จจริงในขั้นตอนต่อไป ซึ่งบุตรชายของนายอภิชัย ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค แต่ด้วยนายอภิชัยเป็นกรรมการบริหารพรรค เราจึงไม่ได้นิ่งนอนใจที่จะติดตามปัญหาที่เกิดขึ้น

"พปชร. ขอยืนยันว่า พรรคเราไม่สนับสนุนการใช้ความรุนแรงในสังคมไทย แต่ขณะนี้ยังไม่มีข้อพิสูจน์หรือหลักฐานชี้ชัดว่าเป็นการกระทำผิด ดังนั้นต้องรอกระบวนการพิสูจน์ สืบสวน ไต่สวนในขั้นตอนต่อไปก่อน" ขณะเดียวกัน วันนี้นายอภิชัย ไม่ได้เดินทางมาร่วมประชุมพรรคพลังประชารัฐด้วย

ครั้งแรก! เปิดคำพูดลูกนักการเมืองฉุดไฮโซสาว เจอฮีโร่น้อยเข้าช่วยทำบิ๊กป้อมอึ้ง