จากกรณีที่นายซัน และ น.ส.อาย หลานชายและหลานสะใภ้ของอากู๋เหมทัศน์ เข้าร้องขอความเป็นธรรมกับทนายเดชาว่า ตนเองและภรรยา ได้ของขวัญวันแต่งงานจากอากู๋เหม เป็นบ้านทาวน์เฮาส์ 2 ชั้นเนื้อที่ประมาณ 20 ตารางวาภายในซอยรามอินทรา 58 แต่ปรากฏว่าบ้านหลัง บ้านหลังดังกล่าวมีคนเข้าไปพักอาศัยอยู่ อ้างว่าบ้านหลังถูกปล่อยทิ้งร้างมากว่า 30 ปี ตนเองจึงเข้ามาดูแลให้เฉยๆ ไม่ได้มีเจตนาจะบุกรุกหรือครอบครองปรปักษ์ และพยายามติดต่อขอซื้อหรือขอเช่ากับทางเจ้าของแต่ว่าติดต่อไม่ได้ จึงเข้ามาดูแลเรื่อยมาเกิน 10 ปี

 

ทางคู่กรณีตกลงที่จะยอมย้ายของออกจากบ้านหลังดังกล่าวไปก่อน จากนั้นมีการนัดเจรจากันอีกรอบทางคู่กรณีประสงค์ที่จะซื้อบ้านหลังดังกล่าวซึ่งทางตนเองจึงเสนอขายในราคา 4.5 ล้านบาท รวมค่าใช้ประโยชน์ ค่าเช่า และค่าเสียหายต่างๆ แต่ทางคู่กรณี ต่อราคาเหลือ 1.2 ล้านบาท ทางเจ้าของบ้านตัวจริง จึงไม่ขายให้ จากนั้นก็เข้าดำเนินการล็อกบ้านทั้งประตูรั้วและประตูด้านในวันที่ 17 กันยายน 2566

 

ต่อมาช่วงปลายปี ประมาณเดือนพฤศจิกายน 2566 ทาง เจ้าของบ้านตัวจริงเข้าไปดูบ้านอีกรอบก็ยังไม่มีการบุกรุกทุกอย่างยังอยู่ในสภาพเดิมประตูรั้วประตูด้านในยังถูกล็อกด้วยกุญแจที่ตนเองล็อกไว้

 

กระทั่งธันวาคม 2566 เจ้าของบ้านตัวจริง ได้รับหมายฟ้องปรปักษ์บ้านหลังดังกล่าวจึงปรึกษากับ ทางทนายเดชาอีกรอบ และได้เข้าไปดูบ้าน วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567 ถึงกับตกใจ เพราะอยู่ๆมีป้ายมาติดหน้าบ้านขายไก่ตะเกียบทอดน้ำปลา และพบว่า มีคนนั่งกินข้าวอยู่ในบ้าน 3 คน ซึ่งเป็น คู่กรณีที่เจ้าของบ้านตัวจริงฟ้องบุกรุกไปก่อนหน้านี้

 

โดยในวันนี้ทีมทนายความคลายทุกข์และผู้เสียหาย จะเข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.โคกคราม เพื่อเข้าไปปลดป้ายตัดกุญแจและเข้าไปตรวจสำรวจบ้าน พร้อมกับเอาโฉนดตัวจริงเข้าไปยืนยันการเป็นเจ้าของบ้าน ที่หมู่บ้าน แห่งหนึ่งแขวงรามอินทรา เขตคันนายาว กรุงเทพฯ

 

ขณะที่ต่อมา นายซัน เจ้าของบ้านเปิดเผยว่า วันนี้ตนเองและทนายความได้เดินทาง มาเพื่อขอลงบันทึกประจำวัน และจะเข้าไปตัดกุญแจพร้อมกับนำทรัพย์สินของผู้ที่บุกรุกเข้าไปอาศัยอยู่ภายในบ้านของตนเอง ออกมาจากบ้านเนื่องจากทางพนักงานสอบสวนแจ้งว่า บ้านหลังนี้โฉนดที่ดินยัง ยังเป็นกรรมสิทธิ์ของอากู๋ถูกต้องตามกฎหมายจึงสามารถที่จะทำได้ และตำรวจจะเก็บรวบรวมพยานหลักฐาน ที่ตนเองจะเข้าแจ้งความเพิ่มเติมดำเนินคดีกับผู้ที่บุกรุกเป็นครั้งที่สอง หลังจากก่อนหน้านี้เคยแจ้งความดำเนินคดีเรื่องบุกรุกไปแล้ว ยืนยัน จะไม่เจรจากับผู้บุกรุกอีกแล้ว จะดำเนินการให้ถึงที่สุด และตำรวจจะทำหนังสือตรวจสอบไป การประปาและการไฟฟ้า ว่าเหตุใดทำไมผู้ที่บุกรุกถึงสามารถที่จะใช้ไฟและน้ำต่ออยู่ได้ หากพบว่ามีการลักลอบต่อน้ำจากที่อื่นมา ก็เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะต้องตรวจสอบและดำเนินการต่อไป

 

ภายหลังจากที่เจ้าของบ้านและทนายความได้เข้าลงบันทึกประจำวันจึงได้เดินทางมาพร้อมตำรวจที่บ้านดังกล่าว เมื่อตำรวจสอบถามคนที่อยู่ภายในบ้าน ว่าใครจะแสดงตัวเป็นเจ้าของบ้านอีกหรือไม่ ปรากฏว่าภายในบ้านไม่มีใครมาแสดงตัวแต่อย่างใด เมื่อตรวจสอบพบว่ากุญแจบ้านถูกล็อกจากประตูรั้ว ด้านนายซันทายาทกรรมสิทธิ์เจ้าของบ้านจึงได้ให้ช่างกุญแจปีนรั้วเข้าไปตัด ก่อนที่จะเข้าไปด้านใน ซึ่งภายในบ้านก็ยังมีทรัพย์สินที่เป็นเครื่องครัว รวมถึงเฟอร์นิเจอร์อยู่เพียงบางส่วน นอกจากนี้ยังมีการตัดกุญแจประตูด้านข้างเพื่อเข้าไปสู่ตัวบ้านด้วย

โดย น.ส อำนวยพร ทนายความเปิดเผยว่า ทรัพย์สินต่างๆภายในบ้านจะต้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจยึดไว้เป็นของกลางเป็นหลักฐานและดำเนินคดี เบื้องต้นตอนนี้ 1 คน คือ นางสาวศรีพรรณที่แสดงชื่อแสดงตัวติดป้ายอยู่หน้าบ้าน ส่วนใครที่เกี่ยวข้องกับการบุกรุกครั้งนี้จะต้องให้ตำรวจดำเนินคดีหมดทุกคน หากมีการต่อน้ำ ต่อไฟ มาจากบ้านไหนก็ต้องดำเนินคดีด้วยฐานสนับสนุนในการกระทำผิด

 

ภายหลังจากที่นายซันเจ้าของบ้านและทนายความได้เปิดบ้านแล้วได้รื้อป้าย ชื่อร้านขายของและป้ายที่ติดห้ามบุกรุกของผู้ที่บุกรุกเข้ามาครอบครองนำมาติดไว้ และได้ใช้ป้ายที่ทำมาใหม่โดยมีข้อความว่า พื้นที่ห้ามบุกรุกห้ามเข้ามาก่อนได้รับอนุญาต หรือเข้ามากระทำการใดๆทั้งสิ้น

 

นายซัน เปิดเผยว่า วันนี้ตนเองจะเข้ามานอนที่บ้านหลังนี้หลังจากไม่ได้เข้ามาที่นี้แล้วประมาณห้าหกเดือนแล้ว วันนี้ได้มีการเตรียมที่นอนมาด้วย แต่ก็ยังเป็นห่วงความปลอดภัย เพราะบริเวณบ้านหลังนี้ส่วนใหญ่จะเป็นญาติของผู้ที่มาบุกรุกเกือบทั้งหมด ส่วนเรื่องทรัพย์สินของผู้ที่บุกรุกเข้ามาในบ้านอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะเอาไปไว้ที่ใด ส่วนเรื่องการขายบ้านหลังนี้ก็มีความคิดที่จะขายแต่ยืนยันว่าจะไม่ขายให้คู่กรณีแต่อย่างใด

 

น.ส อำนวยพร มณีวรรณ์ ทนายความ เปิดเผยหลังจากเปิดบ้านเข้าไปด้านในแล้วว่า วันนี้ได้พาเจ้าของบ้านตัวจริง ซึ่งได้รับมอบอำนาจจาก "อากู๋" เจ้าของบ้านดั้งเดิมที่เป็นผู้ครอบครองโฉนดที่ดิน มาแสดงสิทธิ์ความเป็นเจ้าบ้าน ซึ่งได้มีการลงประจำวันเป็นหลักฐาน ก่อนมาทวงคืนสิทธิ์คืนจากผู้บุกรุก

 

นอกจากนี้ ทีมงานทนายคลายทุกข์ จะเก็บหลักฐานที่มีบุคคลนำมาไว้ในบ้าน เช่น และอุปกรณ์ทำครัว อุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้บางอย่างที่นำมานอน ออกจาก บ้านทั้งหมด และหลังจากวันนี้หากมีการ บุกรุกซ้ำอีก ก็สามารถ เอาผิดได้อีก

 

อย่างไรก็ตามในตัวบ้านที่พบผิดสังเกตคือมีการนำที่นอนโซฟา หม้อหุงข้าว และของใช้บางส่วนมาเก็บไว้ เหมือนเป็นการทำหลักฐานว่ามีการเข้ามาอยู่จริง ทั้งที่บ้านไม่มีกระแสไฟฟ้าใช้งาน

 

สำหรับข้อกฎหมาย ที่นำมาใช้ทวงคืนบ้าน คือ

ข้อหาบุกรุก ทำให้เสร็จทรัพย์ และลักทรัพย์โดยนำโฉนดที่ดินมาแทนกรรมสิทธิ์ ในการทวงบ้านคืน

 

ทีมกฎหมายทนายเดชา มั่นใจว่า หลักฐานทาง "Google street" ที่ "ซัน" หลานชาย "อากู๋" มี อยู่ในมือ จะสามารถใช้ต่อสู้คดีในศาล ว่าคู่กรณีเพิ่งเข้ามาอยู่อาศัย และนำของมาวางไว้เมื่อปี 2560 ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นบ้านปกติ มีต้นไม้วางหน้าบ้าน แต่ไม่มีการเข้าอยู่จริง ไม่มีการมาพักอาศัยจริง ๆ เป็นเพียงที่เก็บของเท่านั้น

 

อีกทั้ง วันนี้ ตำรวจได้ประกาศถามหาเจ้าของบ้านให้มาแสดงตัวก่อนตัดกุญแจแล้ว แต่ปรากฏว่า ไม่มีผู้ใดมาแสดงตัว มีเพียง "ซัน" ที่เป็นผู้ถือโฉนด มาแสดงตัวกับตำรวจเท่านั้น

 

เหล่าพยานหนุนคนปรปักษ์ ปัดตอบสื่อ

ต่อมาทีมข่าวช่อง 8 ได้พยายามเข้าไปพูดคุยพยานแต่ละบ้าน ซึ่งมีทั้งหมด 10 หลังคาเรือน โดยบ้านหลังแรกที่ทีมข่าวช่อง 8 เข้าไปคุย อยู่ตรงข้ามบ้านหลังที่เกิดเหตุเพียง 10 เมตร และถามถึงการเป็นพยานให้กับนางศรีพรรณ ซึ่งเจ้าของบ้านนั้นได้เผยเพียงสั้น ๆ “เอาตรง ๆ นะ คนอื่นเขาพูดอะไรเยอะไม่ได้ ถ้าอยากรู้ต้องไปที่โรงพัก” ทีมข่าวก็ถามต่อถึงนิสัยใจคอของนางศรีพรรณ เจ้าบ้านก็พูดแค่ว่า “เขาเป็นคนดีคนหนึ่งนั่นแหละ”

 

จากนั้นในบ้านถัดไป พบว่าประตูรั้วหน้าบ้านนั้นปิดเงียบคล้ายกับไม่มีคนอยู่ภายในบ้าน

 

ต่อมาอีกหลัง พบว่าประตูรั้วนั้นเปิดอยู่ ทีมข่าวจึงได้เข้าไปสอบถามเกี่ยวกับการเป็นพยานให้กับนางศรีพรรณ ซึ่งทางด้านเจ้าบ้านก็ได้ปฏิเสธว่าไม่ใช่ญาติ แต่เป็นเพียงเพื่อนบ้านเท่านั้น ส่วนรายละเอียดขอไปคุยกันที่ชั้นศาลในวันที่ 18 ที่จะถึงนี้

 

ต่อมาที่บ้านหลังหนึ่ง พบว่าบ้านนั้นมีการปิดประตูรั้วด้านนอก แต่ประตูภายในบ้านนั้นได้เปิดอยู่ ซึ่งทีมข่าวก็ได้พยายามเรียกเจ้าบ้าน แต่ก็ไม่มีใครออกมาพูดคุยด้วย

 

ต่อมาอีกหลัง พบว่าบ้านนั้นมีการปิดประตูมุ้งลวดเอาไว้ แต่ก็ไม่มีใครออกมาพูดคุยด้วย

 

ส่วนบ้านอีกหลัง พบว่าเจ้าของบ้านนั้นกำลังเตรียมอุปกรณ์เพื่อจะไปขายของ ทีมข่าวก็ได้สอบถามเกี่ยวกับการไปเป็นพยาน ซึ่งเจ้าบ้านก็ได้บอกว่า “ป้าเพิ่งจะมาเช่าบ้านอยู่ ป้าไม่รู้เรื่องหรอก ขอบคุณมากที่มีน้ำใจมาสัมภาษณ์ค่ะลูก”

 

และในส่วนของอีก 3 บ้านที่เหลือ พบว่าบ้านนั้นได้ปิดเงียบและไม่มีใครออกมาพูดคุย

 

ทนายสั่งปิดปากพยานไม่ให้ตอบสื่อ เหตุหนุนยึดบ้าน

ต่อมาทีมข่าวช่อง 8 ได้โทรศัพท์ติดต่อไปยังทนายของนางศรีพรรณ เพื่อสอบถามถึงความเคลื่อนไหวบริเวณหน้าบ้านเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ทนายก็ได้ให้ความเห็นว่า เบื้องต้นทางคู่กรณีก็ได้มีการฟ้องแย้งในคดีครอบครองปรปักษ์ รวมถึงมีการฟ้องขับไล่ไปแล้ว ซึ่งในส่วนนี้หากจะมีการขับไล่เกิดขึ้นก็ควรจะรออำนาจจากศาล ตนมองว่าคู่กรณีนั้นกระทำการโดยไม่ให้เกียรติต่อศาลและไม่เห็นความสำคัญของศาล เพราะการที่เขามาขับไล่เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมานั้นเป็นอำนาจเถื่อนและถือว่าเป็นการละเมิดคำสั่งศาลด้วยซ้ำ ซึ่งพฤติกรรมที่ฝั่งของคู่กรณีได้กระทำไป ตนในฐานะทนายก็ได้เก็บข้อมูลเอาไว้แล้วทุกอย่าง เรียกได้ว่า “เข้าทางผมเลยที่นี้” แต่จะมีการฟ้องกลับหรือไม่นั้น ตนก็คงจะแล้วแต่ความต้องการของลูกความว่ามีความประสงค์จะดำเนินคดีในส่วนนี้หรือไม่

 

นอกจากนี้ทางด้านทนายยังพูดถึงเรื่องพยานบุคคล โดยบอกว่าตอนนี้พยานทุกคนนั้นรู้สึกกังวลที่มีหลายคนจับจ้อง ซึ่งสาเหตุที่พยานทั้งหลายไม่ยอมปริปากพูดอะไรกับสื่อเป็นเพราะตนได้บอกกล่าวเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เพราะหากพูดไปก็อาจจะส่งผลกระทบต่อการเบิกความที่ศาล ในส่วนของพยานทั้งหมดขอยืนยันว่าไม่ใช่ญาติ แต่เป็นเพื่อนบ้านที่เขารู้สึกเห็นใจและเขาก็ได้เสนอตัวมาช่วยเหลือเองโดยที่ไม่ได้มีการร้องขอ

 

ทนายยังเสริมอีกว่า ตอนนี้มีความกังวลเพราะมีคนมาคุกคามและพูดจาขู่ฆ่าให้ได้รับอันตราย ทีมข่าวจึงได้ถามต่อว่าการขู่ฆ่าหมายถึงอะไร ทางด้านทนายก็ได้พูดถึง “ทนายเดชา” โดยอ้างว่าทนายเดชามีการพูดถึงตนว่า “ระวังถูกฆ่า” แต่ไม่นานก็ได้ลบข้อความดังกล่าวออกไป ซึ่งในตอนนี้ตนก็กำลังพิจารณาว่าจะดำเนินคดีหรือไม่ เพราะเห็นว่าทนายเดชาก็เปรย ๆ ว่าอยากถูกดำเนินคดี ซึ่งตนก็ยืนยันว่าที่ผ่านมาไม่เคยรู้จักทนายเดชาเป็นการส่วนตัว ทำไมทนายเดชาจึงได้พูดถึงตนแบบนั้น

 

ในส่วนของลูกความตนตอนนี้ ต้องบอกเลยว่าสภาพจิตใจย่ำแย่มาก เพราะสื่อทั้งหลายได้พุ่งเป้าไปที่เขา ทั้งที่คู่กรณีได้ใช้อำนาจเถื่อนมาขับไล่เขาออกจากบ้านโดยที่ไม่รออำนาจศาล หลังจากนี้หากผลออกมาว่าฝั่งของลูกความตนชนะคดี ลูกความตนอาจจะขายบ้านหลังนี้หรือคืนบ้านหลังนี้ให้กับเจ้าของคนเดิม เราไม่เอาบ้านหลังนี้ก็ได้ เพราะที่ต่อสู้อยู่ทุกวันนี้ก็เพื่อจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์และศีลธรรมของตัวเอง หรือหากถ้าแพ้เราก็ยอมรับในความพ่ายแพ้ ไม่ได้มีปัญหาอะไร ต่อมาทีมข่าวก็ได้ถามว่า ครั้งก่อนเคยออกจากบ้านไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ทำไมถึงได้กลับมาอยู่อีกครั้งและยังเปิดร้านขายไก่ทอดอีกด้วย ทนายก็เผยว่า ครั้งที่แล้วที่ลูกความได้ยอมออกจากบ้านไปเป็นเพราะต้องการจะหลบกระแสสังคม โดยที่เขาไม่ได้ปรึกษากับใครก่อนคือทำโดยพลการ แต่ในครั้งที่สองที่ได้กลับมาอยู่อีกครั้งเป็นเพราะคำแนะนำของน้องสาวเขา

 

สุดท้ายทนายก็ร้องขอ “ขอให้เขาได้มีที่ยืนในสังคมบ้าง ไม่สงสารเขาหรอ เขาเป็นคนปฏิบัติธรรม เขาไม่ได้คิดอยากได้ของใครเลย”

 

ต่อมาทีมข่าวได้โทรศัพท์ไปพูดคุยกับนายซัน (เจ้าของบ้าน) เพื่อสอบถามถึงความคืบหน้าขณะนี้ โดยนายซันได้ให้ข้อมูลว่า ในวันนี้ยังไม่ได้เดินทางไปพักที่บ้านย่านรามอินทรา เนื่องจากยังวุ่นอยู่กับการจัดเตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องกับคดี และในส่วนของการขอน้ำ - ขอไฟฟ้า นั้นยังคงอยู่ระหว่างการทำเรื่องร้องขออยู่ หลังจากนี้หากจัดเตรียมในเรื่องของเอกสารเรียบร้อยแล้วก็เตรียมที่จะย้ายข้าวของที่จำเป็นเข้าพักอาศัยที่บ้านหลังดังกล่าวต่อไป

เดือด! ฝั่งยึดบ้านฉะเจ้าของมาทวงคืนใช้อำนาจเถื่อนข้ามหัวศาล แนะคุยดีอาจคืน