ย้อนศึกในตำนานวงการธุรกิจ Bernard Arnault ทำอย่างไร จึงได้กลายมาเป็นผู้บริหารสูงสุดของ LVMH และมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลก คนล่าสุด

หากพูดถึงจุดกำเนิดของ LVMH ก็เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1987 จากการควบรวมกิจการระหว่าง Louis Vuitton (LV) บริษัทแฟชั่นแบรนด์หรู กับ Moët Hennessy (MH) บริษัทบรั่นดีเกรดพรีเมี่ยม

 

โดยในปี ค.ศ.2023 ผลประกอบการของ LVMH ก็ยังคงสวยสดงดงาม มีรายได้สูงถึง 3.3 ล้านล้านบาท และฟันกำไร 5.9 แสนล้านบาท ส่งผลให้ Bernard Arnault ผู้ถือหุ้นใหญ่และซีอีโอ ได้ตำแหน่งมหาเศรษฐีที่รวยทีสุดในโลกไปครอบครอง

 

ซึ่งทั้ง Louis Vuitton (LV) และ Moët Hennessy (MH) ถือว่าเป็นกิจการเก่าแก่ เริ่มต้นจากธุรกิจครอบครัว ก่อนเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ และมีการควบรวมกิจการกัน แต่หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดศึกแย่งชิงอำนาจในการบริหาร ที่มีการหักเหลี่ยมเฉือนคมกันอย่างดุเดือด โดย “สูตรสำเร็จ” ขอนำมาเล่าสู่กัน ดังต่อไปนี้

 

 

Louis Vuitton บริษัทแฟชั่นแบรนด์หรู ที่มีจุดเริ่มต้นจากการผลิตหีบฯ

 

เมื่อปี ค.ศ.1854 สุดยอดฝีมือแห่งการทำหีบขนของ นามว่า Louis Vuitton ได้ตัดสินใจเปิดร้านของตัวเองขึ้นมา กิจการเติบโตและมีการขยับขยายจากหีบฯ สู่แฟชั่นแบรนด์หรูชื่อเดียวกับผู้ก่อตั้ง

 

กระทั่งเกิดจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในปี ค.ศ.1977 Henry Racamier ผู้บริหารรุ่นที่ 4 ลูกเขยของตระกูล Vuitton ก็ทำให้บริษัทเติบโตอย่างก้าวกระโดด กลายเป็นแบรนด์แฟชั่นหรูที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศส

 

และในปี ค.ศ.1984 เขาก็ได้นำ Louis Vuitton เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ก่อนควบรวมกับ Moët Hennessy ในปี ค.ศ.1987 แล้วเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น LVMH โดยมีหุ้นร่วมกัน 51 %

 

 

ศึกยกแรก Louis Vuitton VS Moët Hennessy

 

หลังจากมีการควบรวมกิจการกัน Henry Racamier กับผู้บริหารฝั่ง Moët Hennessy ก็เริ่มไม่ลงรอยกัน ต่างฝ่ายต่างหาพันธมิตรมาร่วมทุน เพื่อช่วงชิงสัดส่วนหุ้นและอำนาจการบริหาร

 

โดยฝั่ง Moët Hennessy ได้เริ่มรุกก่อนด้วยกันเชื้อเชิญให้บริษัทเบียร์ Guinness เข้าถือหุ้น ทำให้ Henry Racamier ไม่อาจนิ่งเฉยได้อีกต่อไป จึงได้ติดต่อทาบทาม Bernard Arnault มาร่วมถือหุ้นเพื่อเสริมกำลังในการต่อสู้ชิงอำนาจกับฝั่ง Moët Hennessy

 

ซึ่งในเวลานั้น Arnault เริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาในวงการธุรกิจแฟชั่น จากฝีมือการฟื้นคืนชีพให้กับแบรนด์หรูอย่าง Dior ได้สำเร็จ โดยข้อเสนอของ Racamier ก็คือจะให้ Arnault ถือหุ้นใน LVMH สูงถึง 25 %

 

Arnault ตัดสินใจเข้าร่วมทำศึกชิงอำนาจ LVMH

 

หลัง Arnault ได้รับข้อเสนอดังกล่าว เขาก็สนใจในทันที แต่ก็ถูก “ที่ปรึกษา” เบรก เพราะมองว่า เป็นไปได้ยากที่ Arnault จะได้หุ้นสูงถึง 25 % ตามที่ Racamier รับปาก แต่เหตุผลที่สำคัญที่สุดก็คือ Moët Hennessy เมื่อผลึกกำลังกับ Guinness ทำให้มีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมากในระดับไร้เทียมทาน จึงเป็นเรื่องยากมากที่ Racamier กับ Arnault จะได้รับชัยชนะในศึกครั้งนี้

 

แม้จะถูกที่ปรึกษาทักท้วง Arnault ก็ยังตัดสินใจเข้าร่วมในศึกนี้ แต่เขากลับเลือกที่จะทำในสิ่งที่หลายคน… ไม่คาดคิด

 

 

Arnault พลิกเกม

 

โดยสิ่งที่หลายคนไม่คาดคิดก็คือ Arnault ปฏิเสธข้อเสนอของ Racamier แต่กลับเลือกไปผูกมิตรกับ Guinness โดยร่วมกันเป็นพันธมิตรซื้อหุ้น LVMH จำนวน 24 % ทำให้ทั้งฝั่ง Racamier กับ Moët Hennessy เดือดดาลเป็นอย่างมาก จึงหันกลับมาคืนดีผลึกกำลังกัน เพื่อสู้ศึกชิงอำนาจกับ Arnault

 

หลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายก็ทุ่มเงินซื้อหุ้นอย่างดุเดือด ก่อนที่ Arnault ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Guinness จะชนะในศึกครั้งนี้ มีหุ้นสูงถึง 43 % ได้อำนาจในการบริหาร LVMH ไปครอบครอง   

 

ซึ่งถ้าย้อนดูจุดเริ่มต้นของศึกชิงอำนาจดังกล่าว ก็เกิดจากความขัดแย้งระหว่าง Louis Vuitton กับ Moët Hennessy แต่สุดท้ายทั้ง 2 ฝ่ายก็ไม่มีใครได้อำนาจ แต่กลับเป็น “ตาอยู่” ที่ชื่อว่า Bernard Arnault กลายเป็นผู้บริหารสูงสุดของ LVMH มาจนถึงทุกวันนี้

 

ขอบคุณภาพจาก FB : LVMH