พิสูจน์การหาวงจรปิด ตำรวจมาก่อนสื่อ แต่ทำไมยังทำแผน ?

ทีมข่าวช่อง 8 ได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิด ในห้องติดตั้งเซิร์ฟเวอร์ ของศาลพระสยามเทวาธิราช พบว่า ในห้องนี้มีเซิร์ฟเวอร์กล้องวงจรปิดอยู่ทั้งหมด 3 เครื่อง และอีก 2 หน้าจอ

เครื่องที่ 1 เป็นเซิร์ฟเวอร์กล้องพระสยาม 1 จะมีหน้าจอติดอยู่กับเครื่องในเซิร์ฟเวอร์นี้จะมี 4 มุม มุมภาพส่วนใหญ่จะส่องบริเวณศาลพระสยาม และด้านในศาลพระสยาม จะส่องไม่ถึงจุดที่ป้าบัวผันโดนทำร้าย

เครื่องที่ 2 เป็นเซิร์ฟเวอร์กล้องพสยาม 2 จะมีหน้าจอติดอยู่กับเครื่อง ในเซิร์ฟเวอร์นี้จะมี 4 มุม มุมภาพส่วนใหญ่จะส่องบริเวณศาลพระสยาม และด้านในศาลพระสยาม จะส่องไม่ถึงจุดที่ป้าบัวผันโดนทำร้าย

และเครื่องที่ 3 เป็นของเซิร์ฟเวอร์กล้องจรปิดตำรวจ ไม่มีหน้าจอติดอยู่กับเครื่อง มีทั้งหมด 4 มุม แต่มุมภาพจะเห็นจุดเกิดเหตุ 2 มุม

จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดวันที่ 12 มกราคม 2567 พบว่า เวลา 13.42.10 น. ตำรวจชุดสืบสวนถือหน้าจอคอมเข้ามา ติดต่อขอดูกล้องที่ห้องติดตั้งเซิร์ฟเวอร์ภายในศาลพระสยามฯ



เวลา 14.20.38 น. ตำรวจชุดสืบคนที่ 2 เดินเข้ามาที่จุดดูกล้อง เวลา 14.25.05 น. ตำรวจชุดสืบสวน เดินถือหน้าจอคอมออก หลังจากดูกล้องเสร็จ

ต่อมาจะเป็นเหตุการณ์ ตอนทีมข่าวช่อง 8 มาดูกล้อง ที่ศาลพระสยามเทวธิราช เวลา 17.24.03 ทีมข่าวช่อง 8 เดินเข้ามาดูกล้องที่ศาลพระสยามเทวาธิราช เป็นครั้งแรก โดยมีทหาร 2 นาย ที่ทำหน้าที่เฝ้าป้อม พาไปดูที่ห้องติดตั้งเซิร์ฟเวอร์วงจรปิด

เวลา 17.28.42 น. ช่างภาพช่อง 8 เดินเข้ามาช่วยดูกล้องวงจรปิด เวลา 17.29 ทีมข่าวช่อง 8 ก็ยังคงดูกล้องวงจรปิดต่อไป

เวลา 17.31 / 17.32 / 17.33 น. ทีมข่าวช่อง 8 ยังคงดูกล้อง วงจรปิด โดยมีทหาร 2 นาย ที่มายืนดูด้วย

เวลา 17.36 ทีมข่าว ช่อง 8 เดินออกจาก ห้องดูกล้องรอบที่ 1 เพื่อไปเก็บเสียงสัมภาษณ์ชาวบ้านด้านนอก

เวลา 18.03.58 ทีมข่าวช่อง 8 มาดูกล้องอีกครั้ง โดยมีชาวบ้านมาร่วมดูด้วย เนื่องจากจะได้ช่วยดูรูปพรรณสัณฐานของป้ากบ ผู้เสียชีวิตว่าคือคนไหน

เวลา 18.43.43 ทีมข่าวช่อง 8 ยังคงดูกล้องต่อไป เวลา 19.45.14 ทีมข่าวช่อง 8 เดินออกมาจากห้องดูกล้อง เพื่อเอาข้อมูลมาดูต่อในโน้ตบุ๊ก จะเห็นภาพทีมข่าวนั่งดูภาพต่อในโน้ตบุ๊ก

สำหรับการดูภาพที่กล้องพระสยาม ของทีมข่าวช่อง 8 วันที่ 29 มกราคม 2567 วันนั้นทีมข่าวจะดูกล้องพระสยามเซิร์ฟเวอร์ 2 ซึ่งจะไม่เห็นจุดเกิดเหตุ เพราะตอนนั้นทีมข่าวไม่รู้ว่ามีการก่อเหตุวันไหน เวลาไหน และที่จุดไหน ทีมข่าวตั้งใจจะดูแค่ภาพตอนที่ป้าบัวผัน (ผู้เสียชีวิต) หรือลุงเปี๊ยก ผู้ต้องสงสัย ว่าจะผ่านกล้องพระสยามตอนไหน เพื่อเอามาประกอบข่าวเท่านั้น

เพราะวันที่ 12 มกราคม 2567 คือวันแรกที่เจอศพ จึงยังไม่มีข้อมูลจากตำรวจออกมาว่าป้ากบถูกฆาตกรรมวันไหน แต่ตอนนั้นตำรวจได้มีการคุมตัวนายปัญญาหรือลุงเปี๊ยกไปสอบปากคำแล้ว



กระทั่งผู้สื่อข่าวช่อง 8 เจอหลักฐานสำคัญในระหว่างวัน วันที่ 13 มกราคม 2567 หลังได้ไปไล่กล้องวงจรปิด เพื่อเอาหลักฐานมาเทียบเคียงการทำแผนฯ ของลุงเปี๊ยก แต่กล้องโดยรอบบริเวณจุดที่ปิยะอ้างว่าทิ้งเสื้อผ้า ตอนตี 5 ของวันที่ 11 มกราคม 2567 ตามคำให้การของลุงเปี๊ยกนั้น ไม่ปรากฏภาพลุงเปี๊ยกในกล้องวงจรปิดแต่อย่างใด

ช่วงเย็นของวันที่ 13 มกราคม 2567 ทีมข่าวช่อง 8 จึงย้อนกลับไปดูกล้องวงจรปิดที่ ศาลพระสยามเทวาธิราชอีกครั้ง เพราะจุดนี้ก็น่าจะเห็นเหตุการณ์ตอนลุงเปี๊ยกยืนคุยกับป้าบัวผัน ตามคำให้การของลุงเปี๊ยก โดยตอนแรกทีมเขาวางแผนจะหาช่วงเวลาตีห้าของวันที่ 11 มกราคม เพราะลุงเปี๊ยกได้ให้การแบบนั้น แต่ปรากฏว่าหาเท่าไรก็หาไม่เจอภาพลุงเปี๊ยกกับป้าบัวผัน

ทีมข่าวช่อง 8 จึงมีการโทร. หารองผู้กำกับสืบสวน สภ. อรัญประเทศ (พ.ต.ท.พิชิต) ที่ทำคดีนี้ โดยถามไทม์ไลน์กับรองผู้กำกับสืบสวน ว่า ตอนเกิดเหตุน่าจะประมาณกี่โมง รองผู้กำกับสืบสวนท่านดังกล่าว จึงบอกทีมข่าวว่า “หาตั้งแต่เที่ยงคืนเป็นต้นไปนะน้อง” ทีมข่าวก็ถามต่อว่า “เที่ยงคืนกี่นาทีครับพี่” รองผู้กำกับสืบสวนคนดังกล่าว ก็ตอบว่า “พี่บอกได้แค่นี้นะน้อง” ซึ่งทีมข่าวก็มีภาพบันทึกการโทร. คุยกับรองผู้กำกับสืบสวนคนดังกล่าว เมื่อวันที่ 13 มกราคม เวลา 17.22 น. โดยในบันทึกการโทร. ดังกล่าว ทีมข่าวพูดคุยกับรองผู้ขับสืบสวน สภ.อรัญประเทศ จำนวน 1 นาที

หลังจากได้ข้อมูลกับรองผู้กำกับสืบสวนทีมข่าวเขารีบไปหากล้องวงจรปิด กระทั่งไปเจอภาพเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น

เรวัช ตั้งคำถาม ทำไมตำรวจไม่ขอโทษลุงเปี๊ยก

วันนี้ พล.ต.ท.เรวัช กลิ่นเกษร อดีตผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด เผยว่า คลิปเสียงที่เผยออกมาเป็นของใครตนไม่รู้ ถ้าไม่ใช่ของจริงคนในคลิปเสียงก็จะออกมาเผาผิดกันเอง ส่วนตนไม่เชื่อว่าเป็นของจริง ส่วนตำรวจที่ทำคดีนี้ ตนมองว่าตำรวจทำพลาดไปผิดไปที่ไปจับลุงเปี๊ยก ตำรวจควรพูดความจริง เล่าความจริงทั้งหมด ขอโทษประชาชน ขอโทษลุงเปี๊ยก และเยียวยาเขา ซึ่งตนสงสารมาก เพราะเป็นคนยากจนสู้รบปรบมือกับใครไม่ได้ เลยบอกไปว่าใครมารังแกมาข่มขู่ก็ให้มาบอกตน ตนในฐานะกรรมาการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ ยังทำหน้าที่อยู่อีก 4 ปี ก็จะให้ความเป็นธรรมได้

ส่วนโทษนั้นเบรกไม่ได้แต่แบ่งเป็น 3 ชุด ชุดที่ 1 คือชุดที่ไปเอาตัวลุงปัญญามาที่ทำผิดตัว จับผิดตัว ส่วน 2 คลุมถุงไหมทำจริงไหมก็ผิด และคนที่อยู่ในห้องไม่ห้ามก็จะมีความผิดร่วมด้วยในกลุ่มที่ 3 และพนักงานสอบสวนก็จะผิดไปด้วย เพราะความผิดเกิดขึ้นแล้วแตกต่างกันไป พาซวยกันไปหมด น้องตำรวจก็ขวัญเสีย ตำรวจน่าจะไตร่ตรองนิดหนึ่ง ถี่ถ้วน พอจับเด็กสังคมก็จะบอกทำไมเด็กทำรุนแรง ส่วนตัวกฎหมายคุ้มครองเด็กนั้น ตัวกฎหมายเข้าท่าบางกรณีที่คุ้มครองเด็กที่ไม่ตั้งใจกระทำผิด ซึ่งมันอยู่ที่พฤติกรรมเด็กมากกว่า

ส่วนแม่ของเชนที่ออกมาโฟนอินในรายการก็ดีแล้ว เพราะตำรวจไม่ค่อยมีเวลาดูแลลูกผู้หญิงเอาลูกผู้ชายไม่อยู่ ซึ่งตนก็ยอมรับว่าเป็นคนเกเรมาก่อนเหมือนกัน พ่อแม่ก็อยากให้ได้ดี คนอื่นเขาก็ด่าว่าลูกจังไรตีด้วยไม้ขัดหม้อเข้าอะไรเข้า ซึ่งเด็กพวกนี้กลับตัวได้ พลาดกันได้

ส่วนโรงพักอรัญฯ นั้น ตนมองว่า ผู้กำกับ สภ.อรัญประเทศ ไม่ทันลูกน้อง พอสายสืบบอกแล้ว ไอ้ที่ว่าไล่กล้องนักข่าวได้ก่อนตำรวจได้ก่อน ตำรวจไม่ทันนักข่าวหรอก นักข่าวเก่งกว่าดูคลิปได้อะไรได้ดูไว แต่ถ้าตำรวจตนสั่งให้ไปดูกล้องวงจรปิดให้หน่อย ตำรวจก็ใช้เวลาดูเป็นวันเป็นคืน ซึ่งก็ดูหลังจากจับไปแล้วสายไปแล้ว ซึ่งอันนี้จะดีขึ้นถ้านักข่าวเห็นคลิปแล้วได้กล้องหลักฐานมาแล้วก็ไปบอกตำรวจ ถ้าเห็นแล้วไปบอกตำรวจแล้วไม่ทำอะไรยังดื้อที่จะจับก็สมควรให้ได้รับโทษไป ตนก็ขอความร่วมมือน้องนักข่าวด้วย ถ้าเกิดมีกรณีหลังจากนี้หรือมีเคสแบบนี้เกิดขึ้นอีกมีพิรุธในคดีอีกก็บอกกันได้



นักข่าวแฉไล่วงจรปิด เทียบลุงเปี๊ยกทำแผน จนเจอนาทีฆ่า

นายณัฐดนัย นะราช ผู้สื่อข่าวช่อง 8 ให้สัมภาษณ์ว่า ก่อนจะเจอหลักฐานสำคัญในระหว่างวัน วันที่ 13 มกราคม 2567 เจ้าตัวได้ไปไล่กล้องวงจรปิด เพื่อเอาหลักฐานมาเทียบเคียงการทำแผนฯ ของลุงเปี๊ยก แต่กล้องโดยรอบบริเวณจุดที่ปิยะอ้างว่าทิ้งเสื้อผ้า ตอนตี 5 ของวันที่ 11 มกราคม 2567 ตามคำให้การของลุงเปี๊ยกนั้น ไม่ปรากฏภาพลุงเปี๊ยกในกล้องวงจรปิดแต่อย่างใด

ช่วงเย็นของวันที่ 13 มกราคม 2567 ทีมข่าวช่อง 8 จึงย้อนกลับไปดูกล้องวงจรปิดที่ ศาลพระสยามเทวาธิราช อีกครั้ง เพราะจุดนี้ก็น่าจะเห็นเหตุการณ์ตอนลุงเปี๊ยกยืนคุยกับป้าบัวผัน ตามคำให้การของลุงเปี๊ยก โดยตอนแรกทีมเขาวางแผนจะหาช่วงเวลาตีห้าของวันที่ 11 มกราคม เพราะลุงเปี๊ยกได้ให้การแบบนั้น แต่ปรากฏว่าหาเท่าไรก็หาไม่เจอภาพลุงเปี๊ยกกับป้าบัวผัน

ทีมข่าวช่อง 8 จึงมีการโทร. หารองผู้กำกับสืบสวน สภ.อรัญประเทศ (พ.ต.ท.พิชิต) ที่ทำคดีนี้ โดยถามไทม์ไลน์กับรองผู้กำกับสืบสวน ว่า ตอนเกิดเหตุน่าจะประมาณกี่โมง รองผู้กำกับสืบสวนท่านดังกล่าว จึงบอกทีมข่าวว่า “หาตั้งแต่เที่ยงคืนเป็นต้นไปนะน้อง” ทีมข่าวก็ถามต่อว่า “เที่ยงคืนกี่นาทีครับพี่” รองผู้กำกับสืบสวนคนดังกล่าวก็ตอบว่า “พี่บอกได้แค่นี้นะน้อง”
ซึ่งทีมข่าวก็มีภาพบันทึกการโทร. คุยกับรองผู้กำกับสืบสวนคนดังกล่าว เมื่อวันที่ 13 มกราคม เวลา 17.22 น. โดยในบันทึกการโทร. ดังกล่าว ทีมข่าวพูดคุยกับรองผู้ขับสืบสวน สภ.อรัญประเทศ จำนวน 1 นาที หลังจากได้ข้อมูลกับรองผู้กำกับสืบสวนทีมข่าวเขารีบไปหากล้องวงจรปิด กระทั่งไปเจอภาพเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น

นายณัฐดนัย ยืนยันว่าตำรวจ สภ.อรัญฯ หลายคนที่นายณัฐดนัยได้ไปสัมผัส เป็นตำรวจที่นิสัยดี ซึ่งหลังจากที่นายณัฐดนัยได้เปิดเผยภาพจากกล้องวงจรปิดไปเมื่อคืนวันที่ 13 มกราคมในรายการลุยชนแล้ว หลังจากนั้นนายณัฐดนัยก็ยังได้เจอกับพนักงานสอบสวน และชุดสืบบางคนที่ทำคดีนี้ ซึ่งนายณัฐดนัยก็ได้ให้กำลังใจตำรวจทั้งชุดสืบสวน และพนักงานพนักงานสอบสวนบางคนเป็นการส่วนตัวอีกด้วย

สุดท้ายนี้นายณัฐดนัย ก็บอกว่า ตัวเองขอให้ให้กำลังใจตำรวจในการปฎิบัติหน้าที่ เชื่อว่าตำรวจ สภ.อรัญประเทศ หลายคนเป็นคนดี

ส่วนประเด็นที่ว่าทำไมได้กล้องวงจรปิดแล้วไม่รีบบอกตำรวจ นายณัฐดนัย ยอมรับว่า ตอนที่เจอวินาทีเกิดเหตุ ส่งภาพไปยังสถานีเข้าสู่กระบวนการตัดต่อนั้น เป็นเวลาประมาณ 18.58 น. จากนั้นก็รีบส่งภาพไปให้ข้างในเพื่อเข้าสู่กระบวนการตัดต่อและออกอากาศ

โดยตอนนั้นนายณัฐดนัยก็ยังไม่มั่นใจว่าทั้ง 5 คนนี้จะเป็นกลุ่มผู้ก่อเหตุตัวจริงหรือไม่ เพราะทราบแต่ว่าเขามีการทำร้ายและอุ้มไปจุดทิ้งศพจริง แต่ไม่ได้เห็นว่าเหตุการณ์หลังจากนั้นเป็นอย่างไร จึงตั้งใจว่าจะนำเรื่องดังกล่าวไปบอกกับ พล.ต.ต.ออมสิณ บุญญานุสนธิ์ ผบก.ภ.จว.สระแก้ว เมื่อเช้าวันที่ 14 มกราคม เขาคิดว่าตอนนั้นก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้แล้วเนื่องจากลุงเปี๊ยกก็ได้ฝากขังไปตั้งแต่ช่วงสายของวันเดียวกัน

กระทั่งช่วงเช้าของวันที่ 14 มกราคม นายณัฐดนัยได้โทรศัพท์ไปแจ้งเรื่องดังกล่าวกับทาง พล.ต.ต.ออมสิณ เพื่อจะบอกเบาะแสกลุ่มต้องสงสัยที่ได้เห็นในคลิป แต่ปรากฏว่าทางด้าน พล.ต.ต.ออมสิณ ท่านบอกว่ากลุ่มวัยรุ่นดังกล่าวได้ตัวมาหมดทุกคนแล้ว และตำรวจได้เห็นคลิปตั้งแต่ช่วงบ่ายของวันที่ 13 มกราคมแล้ว ทางนายณัฐดนัยจึงรู้สึกสบายใจที่ทาง พล.ต.ต.ออมสิณ ได้ทราบเรื่องดังกล่าว พร้อมกับยืนยันกับนายณัฐดนัยว่าได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งหมดได้หมดทุกคนแล้ว



เรวัช สงสัยนักข่าวเจอกล้อง ทำไมไม่บอกตำรวจ

จากกรณีนักข่าวช่องหนึ่งถาม พล.ต.ท.เรวัช ถึงเคสนี้ที่นักข่าวช่อง 8 เจอคดีฆาตกรรมแต่ไม่แจ้งความ ซึ่งเรื่องนี้ พล.ต.ท.เรวัช บอกว่า ตนนั้นไม่ทราบว่าน้องนักข่าว (ณัฐดนัย) แจ้งตำรวจหรือเปล่า ซึ่งถ้าไม่แจ้งแล้วรีบส่งข่าวเลยอะไรเลย มันสายไปแล้วเท่ากับคุณทำบาปด้วยนะลูก คุณทำบาปด้วย คุณได้ข่าวเด่นก็จริงแต่คุณทำบาปด้วย ให้ตาเปี๊ยกเป็นแพะและโทษตาเปี๊ยกประหารชีวิตนะโว้ยเข้าใจไหม ไปล้อเล่นกับชีวิตคน แต่ว่าตนไม่รู้นะเพราะว่าบางคนก็บอกว่าเรื่องนี้ นักข่าวเขาบอกตำรวจแล้วแต่ตำรวจไม่เชื่อ แต่ตนยืนยันว่า ฟังความทั้ง 2 ฝ่าย ตนยังไม่ได้คุยกับน้องนักข่าวว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เพียงแต่ตนวิเคราะห์เฉย ๆ เพราะเวลาทำคดี นักข่าวตำรวจก็ต้องไปทำด้วยกัน มีอะไรคุยกันได้

ขณะที่ นายณัฐดนัย นะราช ผู้สื่อข่าวช่อง 8 เผยถึงหลักฐานที่จะบอกว่า คดีนี้ตัวเองหลังเจอหลักฐานจากวงจรปิดแล้ว ได้มีการโทร. ไปแจ้งเรื่องดังกล่าวกับทาง พล.ต.ต.ออมสิณ เพื่อจะบอกเบาะแสกลุ่มต้องสงสัยที่ได้เห็นในคลิป ของเช้าวันที่ 14 มกราคม ระบุว่า "ผู้การรู้หรือยังครับ ว่าคดีนี้ มีแก๊งวัยรุ่นทำร้ายป้าบัวผัน" พล.ต.ต.ออมสิณ ตอบกลับมาว่า "ทราบแล้วครับ ได้ตัวมาหมดแล้ว สอบปากเบื้องต้นไปหมดแล้ว เขาก็รับสารภาพตามกล้องที่ปรากฏ"

มีอึ้ง! กล้องตัวเต็ม ตร.หิ้วทีวีดูภาพลูกตร. หลายหนแต่จับลุง "เรวัช" ฉะหยุดแถ