คนเจอรองเท้าเผยพิรุธ ลุงพลแยกเดินไปเจอศพชมพู่

ทีมข่าวได้มาพูดคุยกับนางตุนมา พรพมงอย หรือยายตุ่น ชาวบ้านที่ไปเจอรองเท้าของน้องชมพู่ ยายตุ่นมา ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวว่า เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2566 ในช่วงบ่ายของวันดังกล่าว ตัวเองและนายไม้ นามสมมติ สามี ได้ไปหาของป่าที่ภูเหล็กไฟ กระทั่งไปเจอรองเท้าอยู่คู่หนึ่งวางอยู่ในซอกหิน ตัวเองจึงหยิบรองเท้าคู่ดังกล่าวมาวางไว้บนก้อนหิน ตั้งใจว่าจะเอาไปให้หลานน้อยอยู่ที่บ้าน นอกจากตัวเองจะเห็นรองเท้าคู่ดังกล่าวแล้ว นางตุ่นยังบอกกับทีมข่าวอีกว่าตัวเองเห็นร่องรอยใบไม้และกิ่งไม้วางกองกัน อยู่ไม่ห่างจากจุดที่เจอรองเท้ามากนัก คล้ายกับเป็นร่องรอยของเด็กกำลังเล่นขายของ



พอตัวเองลงจากเขา ก็ถึงไปทราบว่าที่บ้านกกกอกมีเด็กผู้หญิงหายไป ตัวเองจึงได้โทร. มาแจ้งญาติคนหนึ่งซึ่งอยู่บ้านกกกอก ว่าตัวเองเจอเบาะแสรองเท้าอยู่บนภูไฟ กระทั่งช่วงเย็นของวันดังกล่าว ชาวบ้านกกกอก จึงให้ตัวเองและนายไม้ ผู้เป็นสามี นำทางไปจุดเจอรองเท้า

ยอมรับว่าตอนที่เดินออกจากบ้านน้องชมพู่ ผ่านสวนยางพารา กระทั่งเดินไปขึ้นตีนภูเหล็กไฟนั้น ตัวเองและนายไม้ผู้เป็นสามียังเป็นคนเดินนำทางชาวบ้านเพื่อไปยังจุดเจอรองเท้า กระทั่งเดินไปได้ครึ่งทางตัวเองได้ยินเสียงลุงพลพูดว่า "รีบ ๆ ขึ้นไป" ก็คิดว่าเขาคงรีบเพราะห่วงหลานเขา กระทั่งก่อนจะถึงจุดเจอศพประมาณ 200 เมตร กลุ่มของลุงพลก็ได้เดินรีบ ๆ แล้วเดินแซงหน้าตัวเองไป แล้วเขาก็พากันเดินแยกไปทางด้านขวา ทั้งที่จุดเจอรองเท้าอยู่ฝั่งด้านซ้าย จากนั้นไม่นานก็มีคนเจองูและมีเสียงลุงพลร้องไห้ฟูมฟายตามในคลิป ก่อนมีคนพูดขึ้นมาว่า เจอศพน้องชมพู่แล้ว

จากนั้นลุงพลก็ล้มฟุบไปที่ด้านหน้าศพน้องชมพู่แล้วร้องไห้ฟูมฟาย และมีการพูดขึ้นมาว่าให้เจ้าหน้าที่ไปสกัดจับคนร้ายที่ตีนเขา มีคนในหมู่บ้านหาย 1 คน รวมถึงพูดเรื่องที่น้องชมพู่ขาดอาหาร ตามที่อยู่ในคลิปวันเจอศพ ถามว่าตอนนั้นตัวเองเห็นเส้นผมน้องชมพู่ส่วนที่โดนตัดหรือไม่นั้น ยายตุ่นบอกว่า ตอนนั้นตัวเองไม่เห็นเส้นผมน้องชมพู่ที่โดนตัดแน่อย่างใด เพราะตัวเองไม่ได้สังเกต และบรรยากาศก็ค่อนข้างมืด



ทีมข่าวจึงสอบถามนางตุ่น ถึงเรื่องตัดเส้นผมว่าสามารถเอาไปทำไสยศาสตร์ได้หรือไม่ นางตุ่นก็ตอบว่า ตัวเองเคยได้ยินคนแก่ในหมู่บ้าน เล่าว่า การตัดเส้นผมสามารถเอาไปทำพิธีทางไสยศาสตร์ เพื่อช่วยในเรื่องเสน่ห์ได้ ทั้งนี้ยายตุ่นยังยอมรับกับทีมข่าวอีกว่า ตัวเองแปลกใจว่าวันเจอศพ พวกตัวเองก็นำทางชาวบ้านและกลุ่มของลุงพลเพื่อเดินเลี้ยวซ้ายไปจุดเจอรองเท้า แต่ทำไมกลุ่มของลุงพลจึงเดินออกขบวนโดยการเดินเลี้ยวขวาไปแล้วไปเจอศพ ทั้งที่วันนั้นมีเป้าหมายคือเดินไปจุดเจอรองเท้า “ถ้าเขารู้เส้นทางดี ทำไมเขาไม่ไปหาเอง ทำไมต้องให้ตัวเองนำทางก่อน”

กรณีที่ศาลตัดสินลุงพลจำคุก 20 ปีนั้น ยอมรับว่าตอนแรกตั้งแต่เป็นคดี ตัวเองก็เชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่ง ว่าลุงพลจะเป็นผู้ก่อเหตุ เนื่องจากเท่าที่ตัวเองสัมผัสเขาในวันที่เจอศพ เขาก็ดูเป็นคนซื่อๆ ไม่นึกว่าเขาจะเป็นคนแบบนั้น



สมบัติ คนพบศพคนแรก ยันเจอลุงพลที่สวนมัน

นายสมบัติ อวนวัง ชาวบ้านกกกอก ซึ่งเป็นผู้พบศพน้องชมพู่เป็นคนแรก และเป็นบุคคลที่ลุงพลพูดถึงว่าเป็นหนึ่งในสามคนที่เห็นลุงพลช่วงเวลา 14.00 น. ที่สวนมันแถวบ้าน ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวนั้น ในสำนวนคดีลุงพลไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าอยู่ที่ไหนกับใครเป็นพยาน

ทีมข่าวจึงไปถามนายสมบัติยืนยันว่าช่วงเวลา 14.00 น. ของวันนั้น ตัวเองเจอลุงพลที่สวนมันแถวบ้านลุงพลจริง และยังได้มีโอกาสพูดคุยกันอยู่ถามว่าเจอน้องชมพู่แล้วหรือยัง



แต่ก่อนหน้านี้ที่กลายเป็นประเด็นว่าลุงพลไม่สามารถระบุเวลาได้ชัดเจนนั้น ตอนนั้นตำรวจเชิญตัวเองไปสอบปากคำตำรวจไม่ได้ถามว่าวันนั้นเจอลุงคนที่สวนมันแถวบ้านลุงพลหรือไม่ แต่ตำรวจกลับถามนายสมบัติว่าเจอลุงพลที่สวนลุงดำหรือไม่ซึ่งนายสมบัติก็ตอบไปตามความจริงว่าไม่เจอ เพราะไม่ได้เจอลุงพลที่สวนลุมดำจริงๆแต่เจอที่สวนมันแถวบ้าน

ส่วนประเด็นเรื่องที่ยืนยันว่าวันนั้นเจอลุงพลที่สวนมันแถวบ้านนั้น ตัวเองเชื่อว่าไม่ได้ถูกนำไปประกอบสำนวนคดีด้วยเพราะตัวเองก็ไม่ได้ชี้แจงกับตำรวจได้อย่างชัดเจนในวันนั้นเนื่องจากยังมีความสับสนเกี่ยวกับคำถามอยู่

คนกกกอกแค้นฉะ "พล ไอ้หน้าซื่อ" ทำกันได้ แฉยับชวนขึ้นเขาที่แท้มีความลับ