หนุ่มสุด งง ตร.คีย์เลขบัตรสลับกับผู้ต้องหาที่ตัวเองแจ้งความ สุดท้ายถูกไล่ออกเพราะมีประวัติลักทรัพย์

18 ต.ค. 66 นายปัญญา (ขอสงวนนามสกุล ) ผู้เสียหายในเรื่องนี้ ได้เดินทางมาขอความช่วยเหลือกับนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด หลังพบประวัติตกเป็นผู้ต้องหาในคดีลักทรัพย์ สลับกับผู้ต้องหาในคดีที่ตนเองเคยแจ้งความไว้ สอบถามตำรวจ สภ.บางประอิน จังหวัดอยุธยา ที่ไปแจ้งความบอก ขอโทษ เดี๋ยวลบประวัติให้ สุดท้ายถูกไล่ออกเพราะยังคงมีประวัติติดตัว

ผู้เสียหาย เล่าให้ฟังว่า เมื่อปี 2564 มีนักศึกษาฝึกงานมาฝึกงานแต่กลับขโมยของบริษัทไป เป็นพีซียู 23 ชิ้น จากนั้นตนเองจึงได้รับมอบอำนาจจากเจ้าของบริษัทให้ไปแจ้งความเอาผิดกับนักศึกษารายนี้ ที่สภ.บางประอิน จังหวัดอยุธยา ซึ่งศาลตัดสิน รอลงอาญา 2 ปี ชดเชยค่าเสียหายในทรัพย์ที่เอาไป

จากนั้นตนเองได้ออกจากที่ทำงานเพื่อเปลี่ยนงานใหม่ ซึ่งทุกครั้งจะมีการตรวจสอบประวัติอาชญากรรม ก็ไม่พบมีประวัติใดๆ กระทั่งทำงานมาจะครบกำหนดฝึกงาน ทางบริษัทได้มีการตรวจสอบประวัติอาชญากรรมและพบว่าตนเองมีประวัติในข้อหาลักทรัพย์ ตนเองก็ปฏิเสธกับบริษัทไปแล้วว่าคนนี้ไม่ใช่ชื่อตัวเองแต่ไอดี เป็นของตัวเอง

ต่อมาตนเองได้ไปติดต่อที่สภ.บางประอิน เพราะอยากรู้ว่าประวัติที่ตนเองถูกแจ้งความข้อหาลักทรัพย์ ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวขอโทษ ที่คีย์ใส่เลข 13 หลักในบัตรประชาชนของตนเองสลับกับชื่อนักศึกษาที่ฝึกงานที่ขโมยของไป ทำให้ชื่อตนเองกลายเป็นชื่อผู้ต้องหาแทน ซึ่งทางสภ.บางปะอินได้ทำการแก้ไขโดยการลบเลข 13 หลักออกจากประวัติที่สภ. ตอนนั้นตนเองเชื่อว่าหลังจากเจ้าหน้าที่ได้ทำการลบประวัติที่สภ. แล้วก็น่าจะไม่มีประวัติขึ้นแต่กลับกลายเป็นว่าประวัติยังมีอยู่ในทะเบียนประวัติสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่วนนี้ตนเองไม่ทราบว่าความผิดพลาดอยู่ที่ใคร แต่ทำไมตนเองต้องมารับปัญหาตรงนี้กับสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ทำผิด ไปสมัครงานที่ไหนก็ไม่ผ่านเพราะมีประวัติ

ด้านนายเอกภพ กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิด ของพี่เขาเลยทางสภ.บางประอิน จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องเยียวยาผู้เสียหายหลังจากนี้ อาจจะต้องพาผู้เสียหายเข้าร้องขอความเป็นธรรมกับกระทรวงยุติธรรม รวมถึงจะประสานกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการแก้ประวัติ