ความคืบหน้าคดีเยาวชน อายุ 14 ปี ก่อเหตุสลดกลางห้างดัง ย่านปทุมวัน เมื่อวันที่ 3 ต.ค.ที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 2 คน และได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก ซึ่งผู้ก่อเหตุ ถูกส่งตัวเข้าสถานพินิจฯไปแล้ว

นำมาสู่การขยายผลการจับกุม หลังตำรวจตรวจสอบ พบว่า เยาวชนอายุ 14 ปี ได้สั่งซื้ออาวุธปืนผ่านทางอินเทอร์เน็ต และได้ทักไปหาผู้ขาย และคุยกันผ่านแชต

เบื้องต้นสืบทราบว่า มีผู้เกี่ยวข้อง 3 คน คือ นายปิยะบุตร คนขายกระสุนปืน , นายสุวรรณหงษ์ และ นายอัครวิชญ์ ทั้งคู่เป็นพ่อลูกกัน เป็นคนขายแบลงก์กัน

จากนั้น ตำรวจชุดสืบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล นำกำลังพร้อมหมายจับ เข้าตรวจสอบ และควบคุมตัว นายปิยะบุตร หลังตรวจสอบพบว่าเป็นผู้ขายกระสุนปืน

ก่อนจะนำตัวนายปิยะบุตร ไปขยายผลการจับกุมต่อ

โดยชุดสืบสวนนครบาล ได้ประสานไปยัง กองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดยะลา ให้สนธิกำลังชุดปฏิบัติการเข้าจับกุมตัวผู้ต้องหาตามหมายจับ เมื่อวันที่ 5 ต.ค.66 เวลาประมาณ 01.00 น. ซึ่งพบตัว นายสุวรรณหงษ์ และนายอัครวิชญ์ อยู่ที่บ้าน จึงได้แสดงหมายจับและเข้าตรวจค้นภายในบ้าน ซึ่งจากการตรวจค้น พบลูกกระสุนแบลงค์กัน จำนวน 209 นัด , ท่อเหล็กตัดท่อน (ลำกล้องปืน) จำนวน 33 ท่อน , สมุดบัญชีธนาคารกรุงไทย 2 เล่ม , เสื้อยืดคอกลมสีเทา ตัวที่นายสุวรรณหงษ์ สวมใส่ขณะกดเงิน , แม็คกาซีนปืน จำนวน 9 อัน , และอุปกรณ์ดัดแปลงอาวุธปืนอื่นๆ รวม 27 รายการ

จากนั้นนำตัวผู้ต้องหา 2 คน พร้อมของกลางไปลงบันทึกจับกุมที่ สภ.เมืองยะลา และจะนำตัวส่งมาดำเนินคดีที่ สน.ยานนาวา

โดยผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ยังคงให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ขณะที่นายปิยะบุตร ยังไม่สามารถจับกุมตัวได้

*คุมเค้นสอบ 3 ผู้ต้องหา
ขณะเดียวกันช่วงบ่ายที่ผ่านมา ตำรวจควบคุมตัว นายสุวรรณหงษ์ และ นายอัครวิชญ์ 2 พ่อลูก ขายอาวุธปืนให้ผู้ก่อเหตุ จาก อ.เมือง จ.ยะลา ไปสอบปากคำเพิ่มเติมที่ สน.ยานนาวา รวมถึง นายปิยะบุตร ผู้ขายและส่งกระสุนปืนให้ผู้ก่อเหตุครั้งแรก ตำรวจได้คุมตัวมาสอบปากคำด้วยเช่นกัน

เมื่อมาถึงได้นำตัวผู้ต้องหาทั้ง 3 คน ขึ้นไปสอบปากคำที่ห้องประชุมชั้น 3 โดยมี พลตำรวจเอกกิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ , พลตำรวจโทสำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พลตำรวจโทธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล สอบปากคำเบื้องต้นในห้องประชุมด้วยตนเอง

ระหว่างนั้นผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามนายอัครวิชญ์ คนผลิตอาวุธปืนแบงก์กัน และนายปิยบุตร คนขายกระสุนปืนให้ผู้ก่อเหตุ ว่าทั้งคู่ทราบหรือไม่ว่าขายปืนและกระสุนปืนให้เด็กอายุ 14 ปี แต่ทั้้งคู่ไม่ตอบคำถามใดๆ

เคยเตือนแล้วอย่าทำขาย-ไม่รู้อายุคนซื้อ
ส่วนทางด้าน นายสุวรรณหงษ์ พ่อของนายอัครวิชญ์ ได้บอกกับผู้สื่อข่าวระหว่างที่ถูกคุมตัวไปสอบสวนที่ชั้นสามของโรงพักว่า ทราบว่าลูกชายผลิตอาวุธปืนแบงค์กันไว้ขายตามอินเทอร์เน็ต ซึ่งที่ผ่านมาก็เคยเตือนลูกชายไว้แล้วว่าไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ แต่ลูกชายไม่เคยฟังตนเองก็ไม่รู้จะทำยังไง

นอกจากนี้ส่วนตัวยืนยันว่าไม่ทราบเลย ว่าลูกชายได้ขายอาวุธปืนขายให้กับเยาวชนอายุ 14 ปี ที่ไปก่อเหตุ แต่เพียงตอนที่รับเงินมาจากคนซื้อลูกชายได้ใช้ชื่อบัญชีของตนเองเท่านั้น โดยส่วนตัวยืนยันว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และไม่ทราบด้วยว่าคนที่มาซื้อปืนแบงค์กันจากลูกชายเป็นเยาวชนอายุเพียงแค่ 14 ปี

เปิดเส้นทางอาวุธ
เมื่อไล่ย้อนเส้นทางการซื้ออาวุธปืน พบว่าเยาวชน อายุ 14 ปี ติดต่อซื้อกระสุนปืนจากนายปิยะบุตร

จากนั้น ได้ติดต่อซื้อแบลงก์กัน จากนายอัครวิชญ์ (เจ้าของเพจ) และ นายสุวรรณหงษ์ (เจ้าของบัญชี) โดยพบมีการกู้เงินผ่านแอปฯ ก่อนโอนเงินจ่ายค่าแบลงก์กัน

เมื่อตรวจสอบ พบว่า นายปิยะบุตรและนายอัครวิชญ์ , นายสุวรรณหงษ์ เป็นเครือข่ายเดียวกัน

เปิดเส้นสายปลายทาง
จากการตรวจสอบพบว่าผู้ก่อเหตุ ได้ติดต่อ และซื้อขายปืน ในช่วงเดือน ก.ย.66 - ต.ค.66 โดยการซื้อขาย จะทำกันในกลุ่ม ซึ่งจะไม่มีการแสดงตัวตน ทำให้ไม่รู้ว่าเป็นใคร

หัวหน้างานเผยคาดไม่ได้ต่อสัญญา
ขณะที่นายวีรเกียรติ อายุ 52 ปี หัวหน้างานกองช่างแห่งหนึ่งในยะลา ซึ่งเป็นผู้ต้องหาวัย 45 ปี กล่าวว่า ตนเองร่วมงานกับน้องที่ถูกเชิญตัวไป ภาพรวม ทำงานดี ทำงานทุกวัน เรื่องโทรศัพท์จะเล่นไม่เป็นเรื่อง ครอบครัวส่วนตัวไม่เคยเล่าให้ฟัง เช้ามาทำงานเสร็จแล้วก็กลับบ้านปกติ ไม่เคยสุงสิงกับใคร ไม่กินเหล้า ในเรื่องนี้ตนเองเพิ่งไปคุยกับ ผอ.งาน ก็ทราบแล้วเพราะว่าเป็นเรื่องใหญ่อยู่ช่วงต่อสัญญาพอดีจึงหยุดต่อสัญญาไปก่อน เพราะว่าโอกาสจะยาก ถ้าคดีบริสุทธิ์ไม่โดนคดีรับเข้าทำงานเหมือนเดิม

ตรวจค้นพบกลางกลาง27รายการ
ผลการตรวจค้นของกลาง ขณะเข้าจับกุมนายสุวรรณหงษ์ และ นายอัครวิชญ์ พบ กระสุนแบลงค์กัน จำนวน 209 นัด , ท่อเหล็กตัดท่อน (ลำกล้องปืน) จำนวน 33 ท่อน , สมุดบัญชีธนาคารกรุงไทย 2 เล่ม ,

2พ่อลูกรับขายปืนนานร่วมปี
ขณะเดียวกัน พล.ต.ต.เสกสันต์ ชูรังสฤษฎิ์ ผบก.ภ.จว.ยะลา กล่าวว่า สำหรับคดีดังกล่าว หลังจากที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ เข้าไปจับกุมตรวจค้นภายในบ้านพัก เบื้องต้นพบมีอุปกรณ์ลำกล้องปืนที่เป็นโลหะอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตดัดแปลงอาวุธปืน จากการสอบถามผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ให้การรับสารภาพว่าร่วมกันผลิตอาวุธปืนดัดแปลงปืนบีบีกัน เพื่อนำจำหน่ายจริง ทำมาแล้วประมาณ 1 ปี รายละเอียดตรงนี้ขอตรวจเช็ก เพื่อยืนยันคำพูดอีกครั้ง ซึ่งก็มีการเช็กบัญชีการขาย บัญชีทางการเงิน การติดต่อสื่อสารเพื่อจะรวบรวมเครือข่ายที่มาที่ไปใครที่เกี่ยวข้อง จะมีการดำเนินคดีทั้งหมด ที่ผ่านมาส่งไปทางไปรษณีย์คล้ายๆ กับการค้าขายยาเสพติดอีกด้วย

เมียปิดบ้านซิ่งหนีสื่อ
ทีมข่าวช่อง 8 เดินทางมาที่บ้านพักของนายสุวรรณหงษ์ และ นายอัครวิชญ์ สองพ่อลูก หลังทั้งสองถูกตำรวจสนธิกำลังชุดปฏิบัติการเข้าจับกุมตัวผู้ต้องหาตามหมายจับ เมื่อวันที่ 5 ต.ค.66 เวลาประมาณ 01.00 น.

เมื่อมาถึงพบบ้านพักปิดเงียบ เป็นลักษณะบ้านปูนชั้นเดียว โดยบริเวณหน้าบ้านพักมีรถจักรยานยนต์สองคันจอดอยู่ รวมทั้งมีกล่องลังกองหนึ่งอยู่หน้าบ้านพัก คาดว่าเป็นกล่องที่เก็บอุปกรณ์และไว้ส่งพัสดุให้กับลูกค้าที่สั่งซื้อปืนแบลงก์กันดัดแปลงทางออนไลน์

ต่อมาเราสังเกตุเห็นมีคนอยู่ในบ้านพักจึงเข้าไปสอบถามและพบกับนางจอย (นามสมมติ) เป็นภรรยาของนายสุวรรณหงษ์และเป็นแม่ของนายอัครวิชญ์ เมื่อนางจอย เห็นทีมข่าวก็ตอบปฏิเสธขอไม่ให้ข้อมูลทันที บอกเพียงว่าให้การไปกับตำรวจหมดแล้ว และอยู่ในช่วงเครียด อีกทั้งทำใจไม่ได้ที่ทั้งสามีและลูกชายถูกจับ

เพื่อนบ้านไม่รู้2พ่อลูกขายปืน
ขณะที่ทีมข่าวสอบถามนายชัย (นามสมมติ) เพื่อนบ้าน บอกว่า ตนเพิ่งทราบเรื่องหลังเป็นข่าวว่าสองพ่อลูกถูกจับกุมช่วงเช้าที่ผ่านมา ซึ่งขณะนั้นตนไปงานศพญาติไม่ได้อยู่ในบ้านพักจึงไม่ทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่บ้านพักหลังดังกล่าวอยู่กันสามคนพ่อแม่ลูก

ซึ่งคนที่เป็นพ่อทำงานเป็นเจ้าหน้าที่เก็บขยะของเทศบาลนครยะลา ส่วนคนเป็นแม่ทำงานเป็นลูกจ้างร้านขายส้มตำบริเวณหน้าปากซอยของบ้านพัก แต่ลูกชายตนไม่ทราบทำอาชีพอะไร ก็แปลกใจที่มีการดัดแปลงปืนแบลงก์กันในบ้านพัก ซึ่งในซอยก็มีเพื่อนบ้านที่เป็นทหารด้วย โดยตนเองกับเพื่อนบ้านคนอื่นก็ไม่รู้ก่อนหน้านี้

 *คุมสอบ 3 ผู้ต้องหา ปฏิเสธตอบสื่อ
ขณะที่ผลการสอบสวน 3 ผู้ต้องหา พลตำรวจตรีนพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยว่า เบื้องต้นพบว่านายสุวรรณหงษ์ และนายอัครวิชญ์ ไม่รู้จักกับนายปิยบุตร เพียงแต่คนก่อเหตุได้ติดต่อซื้อปืนแบงก์กันและกระสุนปืนคนละที่

และจากการสอบปากคำเบื้องต้นนายสุวรรณหงษ์และนายอัครวิชญ์ ยอมรับว่าได้ผลิตปืนแบงก์กันจริง เปิดขายมา 1-2 ปี ซึ่งตอนนี้กำลังเก็บข้อมูลทั้งหมดว่ามีการจำหน่ายจ่ายแจกไปให้ใครบ้าง เพื่อดำเนินการในขั้นตอนต่อไป แต่ทั้ง 2 พ่อลูกไม่ทราบว่าคนซื้อเป็นเด็กอายุ 14 ปี เนื่องจากมีการพูดคุยกันผ่านแอปพลิเคชั่นไลน์ ในห้วงเดือนกันยายน และเดือนตุลาคม ซึ่งผู้ขายเปิดเป็นกลุ่มปิด เมื่อถูกจับได้ก็ปิดกลุ่มเดิมและไปเปิดกลุ่มใหม่ต่อ ซึ่งคนขายไม่ได้ให้ความสนใจว่าลูกค้าอายุเท่าไหร่ เพียงแค่ต้องการขายสินค้าเท่านั้น เมื่อมีคนติดต่อมาซื้อก็ขายให้ตามปกติ และจากการตรวจสอบพบว่ามีลูกค้าอีกหลายคนที่สั่งซื้อปืนแบงก์กันจากนายสุวรรณหงษ์และนายอัครวิชญ์

*ปิดเพจหนีผิด
ต่อมาตำรวจไปตรวจสอบเพจเฟซบุ๊กที่ซื้อขายปืน พบว่าเปิดเพจ พ.ค.66 และปิดเพจ ในวันที่ 3 ต.ค. 66 เวลา 22.30 น. ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับที่เยาวชนก่อเหตุสลด

มือยิงพารากอนกู้เงินซื้อปืน บุกจับก๊วนผลิตกระสุนเป็นคลังแสง เมียอ้างไม่เห็นรู้