*ถอดภาษากาย"บิ๊กโจ๊ก"
จากกรณี ตำรวจได้มีการบุกค้นบ้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ “บิ๊กโจ๊ก” โดยมีภาพและคลิป ที่เห็น “บิ๊กโจ๊ก” ใช้คำพูดและมีลักษณะท่าทางต่างๆ ระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจแสดงหมายค้น

ทีมข่าวจึงได้ไปพบกับ อาจารย์ ดร.ตฤณห์ โพธิ์รักษา นักอาชญาวิทยาเชิงจิตวิทยาและพฤติกรรมคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อให้อ่านภาษากายของ “บิ๊กโจ๊ก” โดย อ.ตฤณห์ ได้วิเคราะห์ให้ทีมข่าวฟังว่า

“ในคลิปแรกมองเห็นได้ชัดเจนทั้งท่าทางและน้ำเสียงของ “บิ๊กโจ๊ก” แสดงถึงความไม่พอใจ แต่ไม่แสดงถึงความกลัวและกังวลหรือระแวงใดๆ

ส่วนจากภาพนิ่ง ทั้งสองภาพจะเห็นว่า“บิ๊กโจ๊ก” มีการเท้าสะเอว ซึ่งการเท้าสะเอวโดยธรรมชาติเป็นสัญชาตญาณของสัตว์และมนุษย์ จะเป็นการที่จะทำให้ตัวเองดูใหญ่ขึ้น และแสดงให้เห็นว่า ฉันตัวใหญ่กว่าคุณนะ ฉันมีอำนาจ คุณต้องเคารพฉัน และแสดงการต่อต้าน และตั้งรับในที่มั่นของตัวเอง และแสดงการปกป้องอาณาเขตของตัวเอง


โดยมันเป็นอารมณ์ที่แสดงถึงการปกป้องพื้นที่ของเขา และ รวมถึงการต่อต้านและการไม่เชื่อ โดยเราจะเห็นคนทะเลาะกันหรือคนที่ไม่เชื่ออะไรจะมีการยืนเท้าสะเอว

โดยภาพที่นำมาให้วิเคราะห์มีน้อยจึงระบุได้ไม่ชัดเจนมากนัก โดยที่มองเห็นได้ชัดเลยคือ ความไม่พอใจ และ ความไม่เห็นด้วย ในส่วนความกังวลก็อยู่ในลักษณะที่พอดี เหมาะกับสถานการณ์ไม่มากจนเกินไป

*นักอาชญวิทยามองปมค้นบ้าน
รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล ผู้ช่วยอธิการบดี ประธานกรรมการคณะอาชญาและการบริหารงานยุติธรรม มหาวิทยาลัยรังสิต ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวช่อง 8 ประเด็นเรื่องที่ศาลออกหมายค้น จริงๆแล้วต้องแสดงให้ศาลเห็นว่า บ้านหลังนี้เป็นบ้านของใครเจ้าบ้านตามทะเบียนบ้านคือใคร ซึ่งก็ต้องมีพยานหลักฐานพอสมควรถึงจะขอหมายค้นได้ เพราะต้องบอกอีกจะค้นด้วยเหตุผลอะไร เช่น ค้นยึดอายัดสิ่งของ ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องมีหลักฐานพอสมควรให้ศาลเชื่อถึงจะออกหมายได้

ประเด็นที่ศาลออกหมายโดยไม่รู้ว่าเป็นบ้านรองผบ.ตร.นั้น ตรงนี้อาจารย์มองว่าก็เป็นไปได้ เพราะบางทีการนำเสนอ ก็อาจจะนำเสนอเพียงว่ามีสิ่งของทางคดีที่ต้องยึดอายัด และยิ่งในทะเบียนบ้านไม่ได้ปรากฏชื่อรองผบ.ตร. ก็เป็นไปได้ที่ศาลไม่ทราบ

ตำรวจค้นบ้านตำรวจได้หรือไม่ จริงๆ มีได้ 2 กรณี 1.ใช้อำนาจทางปกครองทางผบ.ตร.ขอความร่วมมือรองผบ.ตร. ว่าขอให้ทีมงานเข้าไปตรวจค้นตามจุดต้องสงสัยได้หรือไม่ แต่ข้อนี้เสี่ยงเพราะถ้าผิดจริง พยานหลักฐานหาย 2.ใช้อำนาจตามกฎหมายคือศาลออกหมายค้นการที่ตำรวจค้นบ้านตำรวจ จริงๆ แล้วอาจารย์มองว่าทุกคน ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ หรือคนธรรมดา หรือแม้กระทั่งนายกฯ ต้องทำตามกฎหมายทั้งหมด

ประเด็นการเมืองในวงการสีกากีนั้น อาจารย์กฤษณพงค์ บอกว่างานวิจัยฝรั่งบอกไว้ว่า การเมืองมีอยู่ทุกที่ ไม่เฉพาะแวดวงตำรวจ “ที่ไหนยิ่งมีอำนาจและผลประโยชน์ที่นั่นการเมืองสูง” ยิ่งวงการตำรวจ ยิ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า รองผบ.ตร.สุรเชษฐ์นั้น เป็นข่าวปรากฏในสื่อตั้งนานแล้วว่าท่านก็เป็นในหนึ่งแคนดิเดตผบ.ตร. ดังนั้นเลยอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า การค้นบ้านบิ๊กโจ๊กในครั้งนี้เกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติหรือไม่ แต่มองว่ากระทบภาพลักษณ์ตำรวจเต็มๆ

การแต่งตั้งผบ.ตร. อาศัยตามกฎหมายพ.ร.บ.ตำรวจปี 2565 ได้ระบุว่าผู้มีอำนาจในการเสนอชื่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คือนายกรัฐมนตรี แต่ก็จะมีบอร์ดของตำรวจลงมติเลือก ขึ้นอยู่กับความอาวุโส และความรู้ความสามารถ ตรงนี้ก็ต้องมาพิสูจน์กันขึ้นอยู่กับบอร์ด

อาจารย์พูดถึงปรากฏการณ์ว่าทุกครั้งก่อนที่จะแต่งตั้งตำรวจระดับสูงทีไร ก็มักจะมีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องตลอด หรือแม้แต่การเมืองระดับชาติก็เกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งตำรวจอยู่ดี

ประเด็น อยู่ที่ว่าระบบตำรวจไทยเป็นระบบรวมศูนย์อำนาจ คือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีผบ.ตร. 1 คนมีอำนาจในการสั่งการตำรวจทั่วประเทศ ต่างจากในต่างประเทศทั้งที่สหรัฐอเมริกาและประเทศอังกฤษ ไม่มีใครแย่งเบอร์หนึ่งการเป็นตำรวจเพราะอำนาจจะกระจายไปในแต่ละรัฐ-เมือง ยกตัวอย่างถ้าเป็นผู้บัญชาการตำรวจลอนดอนจะไปสั่งการผู้บัญชาการตำรวจอีกเมืองหนึ่งไม่ได้ ตรงนี้เลยเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างและการเมืองภายใน ทำให้ไม่สามารถ แก้ไขปัญหาอาชญากรรมให้กับประชาชนได้อย่างแท้จริง

*เปิดเบื้องลึกบิ๊กโจ๊ก
จากการสอบถามผู้รู้หลายคน เกี่ยวกับประเด็น การค้นบ้านของพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ว่าเป็นเกมตัดขาทางสู่ผบ.ตร.หรือไม่

พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เห็นว่า ไม่ต้องแข่งถ้านายกฯไม่เอา เขาก็ไม่ได้

ขณะที่ พล.ต.ท.เรวัช กลิ่นเกษร อดีตผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด เห็นว่า มันขึ้นอยู่กับนายกฯ ว่าเขาจะพิจารณาใคร

ส่วนพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เห็นว่า อยากถามนายกฯเศรษฐาว่ามีอิทธิพลภายนอกมาครอบงำหรือไม่

ด้านรศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงศ์ พูตระกูล นักอาชวิทยา ม.รังสิต ระบุว่า อดตั้งคำถามไม่ได้ว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้อง

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นข้อคำถามว่าการตรวจค้นดังกล่าว เป็นเกมเอาคืนจากนายตำรวจใหญ่หรือไม่

ในเรื่องนี้ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ระบุว่า ทุกคนมีสิทธิ์คิด ผมยังคิดเลย

ขณะที่พล.ต.ท.เรวัช กลิ่นเกษร อดีตผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด มองว่า ไม่ใช่จุดหมางใจ สื่อวิเคราะห์ไปเอง

ด้านพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เห็นว่า มีความเป็นไปได้

ส่วนรศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงศ์ พูตระกูล นักอาชวิทยา ม.รังสิต เห็นว่า เป็นคำถามที่สังคมสงสัยได้ แต่ขึ้นกับพยานหลักฐานไม่ใช่ตามกระแส

*เปิดภาพ2 รอง ผบ.ตร.ร่วมงาน
ทีมข่าวช่อง8 นำคลิปภาพข่าวเมื่อ 1 ธันวาคม 2565 ซึ่งเป็นภาพของพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กับ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ทำงานด้วยกัน

และวันนี้ทั้งคู่เป็นแคนดิเดตผบ.ตร. โดยพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ อยู่อันดับ2 ส่วน พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ อยู่อันดับที่4

*อดีตผู้การชล แจ้งจับ "บิ๊กโจ๊ก"
ขณะเดียวกัน มีความเคลื่อนไหว ที่สภ.เมืองชลบุรี โดยพล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ ธนนันท์ทวีสิน ผู้บังคับการประจำกองบัญชาการตำรวจสันติบาล อดีตผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี ได้เดินทางเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองชลบุรี เพื่อดำเนินการเอาผิดกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ บิ๊กโจ๊ก รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ตามมาตรา 157 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

หลังจาก พล.ต.ท.อภิชาติ เพชรประสิทธิ์ ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล ลงนามในคำสั่งกองบัญชาการตำรวจสันติบาล ที่ 129ก2566 ให้ยุติเรื่อง กรณี พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง โดยต้องหาคดีตามมาตรา 157 มีการเปลี่ยนตัวผู้ต้องหาคดีบุกยิงกลางพูลวิลล่า ย่านหาดจอมเทียน ซึ่งคำสั่งดังกล่าวระบุว่า ผลการสอบสวนพิจารณาเสร็จสิ้น พยานหลักฐานฟังไม่ได้ว่า พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ กระทำผิดวินัยตามข้อกล่าวหา จึงให้ยุติเรื่อง

สำหรับคดีดังกล่าวมี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ บิ๊กโจ๊ก รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้รับผิดชอบคดี และมีคำสั่งย้าย พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ ไปประจำ ศปก.ตร. กระทั่งผลการสอบวินัยมีคำสั่งยุติ ไม่มีความผิด ทาง พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ จึงนำเอกสารหลักฐานต่างๆ เข้าพบพนักงานสอบสวน พร้อมให้ข้อมูลในห้องสอบสวนเป็นเวลาประมาณ 40 นาที

จากนั้น พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ที่มาในวันนี้ เพราะต้องการมาเรียกร้องขอคืนความยุติธรรมให้ตนเอง เรื่องการสอบตนเองสั่งยุติว่าไม่มีความผิด จึงมาแจ้งความผิดกับผู้เกี่ยวข้องที่สั่งดำเนินคดีตนเอง ซึ่งมีตำรวจชั้นผู้ใหญ่หลายราย รวมถึงบิ๊กโจ๊กด้วย โดยตลอดที่ผ่านมาตนเองดำเนินตามขั้นตอนของกฎหมายทุกอย่าง ที่ผ่านมาตนเองก็มีวินัยตลอดมา ไม่เคยไปให้ข่าวให้ผู้บังคับบัญชาเสื่อมเสีย หรือทำให้องค์กรเสียหาย ตนเองยังเชื่อมั่นว่าความจริงนั้นมีแค่หนึ่งเดียว ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย ความจริงจะมีแค่เพียงหนึ่งเดียว

*เปิดนาทีผู้การนำเกียรติ
ทีมข่าวช่อง8 ได้ภาพนาที ที่ตำรวจ จะเข้าตรวจค้น พลตำรวจตรีนำเกียรติ ธีระโรจนพงษ์ ผู้บังคับการศูนย์ฝึกอบรมกองบัญชาการตำรวจนครบาล ที่แฟลตตำรวจ โดยพล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผู้บังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ป.ป.ป.) และ รักษาราชการแทนผู้บังคับการตำรวจทางหลวง

*เปิดประวัติพล.ต.ต.นำเกียรติ
โดยประวัติของพล.ต.ต.นำเกียรติ ธีระโรจน์พงษ์ ผู้บังคับการศูนย์ฝึกอบรมกองบัญชาการตำรวจนครบาล เติบโตมาในสายงานสอบสวน มักถูกวางตัวให้เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน

โดยทำคดีสำคัญหลายคดี เช่น คดีการเสียชีวิตพริตตี้สาวลัลลาเบล , คดีแอมไซยาไนด์ , คดี 6 นายตำรวจเอี่ยวช่วยผู้ต้องหาหลบหนีในคดียิงพ.ต.ท.ศิวกร สายบัว หรือ สารวัตรแบงค์

โดยพล.ต.ต.นำเกียรติ ได้เดินทางไปเพื่อสอบปากคำแล้ว เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา โดยมีสีหน้าที่เรียบเฉย และไม่ได้ให้สัมภาษณ์ใดๆกับสื่อมวลชน

ลุยค้นผู้การลูกน้องบิ๊กโจ๊ก ครั้งแรกขนอาวุธหนักจับ นักวิชาการชี้ท่าโจ๊กพร้อมลุย