"ผู้การเต่า" นำตำรวจทางหลวงร่วมพิธีเชิญดวงวิญญาณ "สารวัตรแบงค์- ผกก.เบิ้ม" กลับสถานี

วันที่ 15 กันยายน 2566 เวลา 15.20 น. พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รรท.ผบก.ทล. พร้อมรถตำรวจทางหลวงกว่า 20 คัน โดยหนึ่งในนั้นคือประจำของ พ.ต.อ.วชิรา ยาวไทยสงค์ คือทะเบียน 6กร5157 เมื่อเดินทางถึงหน้าบ้านกำนันนก ได้ทั้งแถวบริเวณหน้าบ้าน พร้อมกับนิมนต์พระสงฆ์เพื่อทำพิธีเชิญวิญญาณ พ.ต.ต.ศิวกร สายบัว และ พ.ต.อ.วชิรา ยาวไทยสงค์ ตำรวจ 2 นายที่เสียชีวิต โดยเมื่อเสร็จสิ้นพิธีการ ตำรวจทางหลวงได้เปิดไฟหน้า พร้อมไซเรน เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้เสียชีวิต

พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ระบุว่าทำเป็นธรรมเนียมของตำรวจทางหลวงเราก็จะมาเชิญดวงวิญญาณ สารวัตรแบงค์ และ ผู้กำกับเบิ้ม เนื่องจากจุดตรงนี้ คือจุดเริ่มต้นของปฐมบทในเรื่องของการสูญเสีย ถือเป็นการสดุดี คือเรามองว่าการทำงานของ สารวัตรศิว เป็นการทำงานตามคำสั่งของผู้บังคัญบัญชาจนวาระสุดท้ายของชีวิต และสิ่งที่เขาได้ทำไปก็ทำให้เกิดความสูญเสีย ส่วนผู้กำกับเบิ้ม ซึ่งคนเรียกมาในวันนั้น ได้แสดงความรับผิดชอบด้วยการนำชีวิตตัวเองเข้าแลก ยอมรับว่าเขาทั้งคู่ มีเลือดของผู้พิทักษ์สันติราช อยู่เต็มอก เลือดสีเลือดหมูมันคงไม่จืดจาง

หลังเกิดเหตุการณ์นี้ผมเชื่อว่าทุกคนหดหู่ การที่คุณออกจากบ้าน คุณอาจจะไม่ได้กลับบ้าน มันเป็นวิสัยของตำรวจ

ส่วนประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ยุทธวิธีที่ตำรวจในงานพบปืนไปแต่ไม่ต่อสู้ หรือการหนีเอาชีวิตรอด มันเป็นอย่างไร ถ้าเป็นความคิดผมเองเชื่อว่าตำรวจมีทั้งพกปืนและไม่พกปืน อยู่ในที่เกิดเหตุ เสียงปืนถ้าดังขึ้นมา 1 นัด มันจะบ่งบอกคนเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกคือช่วยเหลือสารวัตรศิวกับรองวศิน กลุ่มที่สองคือช่วยกำนัน กลุ่มที่สามคือกลุ่มหลบหนี มีเท่านั้น

ส่วนการที่วงจรปิดจุดสำคัญถูกถอดปลั๊กออก จะทำให้กำนันพ้นผิดเรื่องการสั่งฆ่าหรือไม่ ส่วนตัวเชื่อว่ายากที่จะหลุดคดี พยานในที่เกิดเหตุ ส่วนกรณีคิดเห็นอย่างไร เมื่อตำรวจได้ยินเสียงปืนนัดแรงวิ่งหนีหมดเลย คือผมขอความเห็นใจหน่อยว่า ถ้าเราไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุชั่วโมงนั้นเราจะทำอย่างไร ทุกคนต่างมีเหตุมีผลของตัวเองที่จะทำ เสียงปืนนัดแรกทุกคนต่างตะลึง บางคนหลบใต้โต๊ะ บางคนหาที่หลบ การเกิดเหตุการณ์เฉพาะหน้าเนี่ยมันต่างกัน บางคนสามารถควบคุมสติได้ บางคนก็ไม่มี ตำรวจไม่ได้เก่งทุกคน ซึ่งก็จะมีพฤติกรรมที่แตกต่างกันออกไป

แต่เมื่อสิ้นเสียงปืนแล้วตำรวจบางกลุ่มกลับไปช่วยคนร้ายหลบหนี ตำรวจเหล่านั้นคาดจากการเป็นตำรวจแล้ว ชุดนี้ต้องเอาให้หนักอย่าปล่อยไว้ คุณจะช่วยเหลือผู้มีพระคุณหรือไม่ไม่รู้ แต่เมื่อคุณได้ยินเสียงปืน คุณต้องเป็นตำรวจ การเป็นผู้พิทักสันติราชรักษากฎหมาย ไม่ใช่ไปช่วยผู้กระทำความผิด

ส่วนวงจรปิดวันเกิดเหตุ ผมไม่ขอดู เพราะมันหดหู่ ส่วนความเชื่อว่าฟางเส้นสุดท้ายของกำนันนก กับสารวัตรศิว คือคำว่ากำนันสู้ผมไม่ได้ แล้วกำนันไม่เคยแพ้ใคร เชื่อว่านี่คือสิ่งที่คำให้กำนันโมโห หลังจากที่ดวลดื่มเหล้ากัน เมื่อมีการขอโทษกัน ไม่เกิน 10 นาที เสียงปืนดัง เชื่อว่าคนเราจะฆ่าใครซักคนคงไม่ใช่เรื่องเดียว คงมีหลายเรื่องแต่เรื่องสุดท้ายคือฟางเส้นสุดท้าย

ก่อนออกจากพื้นที่ได้ได้ยกมือไหว้ แล้วบอก สารวัตรศิว ผู้กำกับเบิ้ม ว่า ขึ้นรถ เราจะไปกันแล้ว

ด้าน ด.ต.รังสรรค์ แปรงกลาง ผบ.หมุ่ กก.1 บก.ทล. ระบุถึงวันที่ไปในที่เกิดเหตุหลังสารวัตรศิวถูกยิง ได้เข้ามาตามคำสั่งของ ผู้กำกับเบิ้ม ให้เข้ามาดูที่เกิดเหตุหลังเกิดเหตุประมาณ 40 นาที เห็นคนงานชาย 3 คน กำลังล้างพื้นเพิ่งเสร็จ ส่วนตัวพยายามสอบถามว่าใครสั่งให้ล้าง เขาก็ก้มหน้าแล้วไม่ตอบ หลังที่เข้ามา ทางตำรวจ พฐ. เข้ามากั้นพื้นที่เกิดเหตุทันที ส่วนผู้กำกับเบิ้ม ไม่ได้มาในที่เกิดเหตุ เพราะอยู่ที่โรงพยาบาล ก่อนจะเข้ามาอีกทีช่วงเช้า แล้วมายืนดูที่เกิดเหตุด้วยความเสียใจ

ส่วนการทำงานร่วมกับสารวัตรศิวนั้น เขาเป็นคนน่ารัก พูดจากับผู้ใต้บังคับบัญชาการดี ชอบซื้อข้าวเที่ยงมาเลี้ยงลูกน้องที่สถานีทุกวัน กาแฟ ผมได้มีโอกาสดูในไลน์ที่สนทนา ระหว่าง สารวัตรศิว กับพลขับประจำ มักจะฝากเงินให้พลขับไปซื้อของอาหาร กาแฟ มาให้ลูกน้องเป็นประจำ เวลาที่ไม่ได้เข้าสถานี

ก่อนที่รถตำรวจทุกคันจะขับออกจากพื้นที่หน้าบ้านที่เกิดเหตุ เพื่อกลับไปยังสถานีตำรวจทางหลวงดอนตูม