ชูวิทย์ แฉเศรษฐา ep.2 ปั่น บวม ตัดตอน ตั้งบริษัทนอมินี ซื้อที่ดินย่านทองหล่อ ปั่นราคาสูงถึงพันล้าน ผงะถือหุ้นเป็น "แม่บ้าน" และ รปภ. แถมเงินถอนซื้อที่ 435 ล้านหายปริศนา

15 ส.ค 66 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เปิดแถลงข่าว ภารกิจแฉเพื่อชาติ ep.2 ปั่น บวม ตัดตอน โดยทันทีที่เดินเข้ามา ได้เดินมาพร้อมกับนายวรัญชัย โชคชนะ ที่สวมปีบคลุมศีรษะเขียนว่า “นายก ดิจิตอล”

ก่อนที่จะนำภาพของคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งขึ้นสไลด์ และอธิบายว่า ที่ดินแปลงนี้ เป็นที่ดินที่หรู เพราะเป็นที่ตั้งของคอนโดหรูที่สุดในประเทศไทย โดยคอนโดสร้างเสร็จแล้วตั้งใจกลางทองหล่อ

จากนั้นก็เริ่มอธิบายเกี่ยวกับขั้นตอน “บวม” “ปั่น” และ “ตัดตอน” ว่าที่ดินแปลงนี้เป็นมาอย่างไร พร้อมยืนยันว่า วันนี้มาพูดเรื่องบุคคลที่จะขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ผมไม่เกี่ยวเรื่องการเมือง พรรคเพื่อไทยสามารถเสนอบุคคลอื่นได้ ผมไม่มีข้อมูล ตนเป็นเพียงประชาชนวิพากษ์วิจารณ์ได้

พร้อมระบุว่า วันนี้เป็นวันเกิดของตนเอง ก็ขอปฎิบัติภารกิจ แฉเพื่อชาติ ซึ่งตอนนี้เป็นตอนที่เรียกว่า”ปั่น”ก็คือ ปั่นที่ดิน “บวม” ก็คือการบวมเงิน และ “ตัดตอน”

โดยกระบวนการก่อนที่จะมาเป๊นคอนโดมิเนียม K นี้ เริ่มมาจากที่ดินแปลงทองหล่อ 12 โดยมี 10 โฉนด แบ่งเป็นคอนโด K จำนวน 9 โฉนด

พร้อมอธิบายว่า ที่ดินแปลงนี้ก่อนจะสร้างคอนโด เดิมถือโดยบริษัทจริง ทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท ซึ่งมีผู้ถือหุ้น 4 คน คนละ 25% โดยจดจำนองไว้กับธนาคาร 465 ล้านบาท

จากนั้น วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 58 บริษัทนอมินี ซื้อ จากบริษัทจริงในราคา 565 ล้านบาท (มาจากเงินทุนจดทะเบียน 100 ล้าน + เงินที่ต้องปลดจำนอง 465ล้าน)

โดยบริษัทนอมินี มีการเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้น 3 คน คือ นางสาว พ. เป็นแม่บ้าน (ไม่มีอาชีพ) ถือหุ้น 99.99% จากการตรวจสอบประวัติพบว่าเป็นชาวจังหวัดมหาสารคาม และไม่พบประวัติการเสียภาษี

นาย ส. และ นาย พร. เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของบริษัทหนึ่ง อีกคนละ 0.0001% ซึ่งทั้งคู่เป็นชาวจังหวัดมหาสารคาม และจังหวัดร้อยเอ็ด

โดยการจะซื้อบริษัท ต้องไปกู้เงินจากบริษัท อ. ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง โดยบริษัทให้กู้ 1,000 ล้านบาท และนิติกรรมทั้งหมดเกิดขึ้นในวันทั่ 11 กุมภาพันธ์ 58 จากนั้น บริษัทอสังหาริมทรัพย์ ก็นำเงินของประชาชน ซึ่งเป็นเงินที่ซื้อหุ้นบริษัทจำนวน 1,000 ล้านบาท ไปซื้อบริษัทจากกลุ่มนอมินี ซึ่งมองว่าไม่เป็นธรรมกับกลุ่มผู้ถือหุ้น ก่อนจะซื้อและสร้างคอนโด K. ใจกลางทองหล่อ

คุณชูวิทย์ จึงตั้งคำถามว่า แล้วมีการกู้ 1,000 ล้านบาท แต่เอาไปซื้อเพียง 565 ล้านบาท ส่วนต่าง 435 ล้านบาทหายไปไหน ซึ่งนี่เป็นกระบวนการปั่น บวม และ ตัดตอน

โดยอธิบายว่าบริษัทอสังหาริมทรัพย์สามารถซื้อที่ดินจากบริษัทจริงได้ แต่ใช้วิธีตั้งบริษัทนอมินี เข้ามาซื้อแทน โดยที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ซึ่งถือว่าเป็นการตัดตอน ส่วน นางสาว พ. เป็นตัวปั่น ขายที่ดินต่อให้กับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ เป็นราคา 1,000 ล้านบาท ทำให้ราคาที่ดิน บวมขึ้น เป็น 957.55ล้านบาท (สาเหตุที่ไม่ใช่ 1,000 ล้านเพราะ ขายแค่ 9 โฉนด เหลือไว้ 1 โฉนด)

นายชูวิทย์ บอกอีกว่า หลังจากมีการซื้อขายที่ดินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว บริษัมนอมินีได้มีการเปลี่ยนชื่อผู้ถือหุ้นจาก น.ส. พ. เป็น นาย ย. ในวันที่ 24 พ.ค.2560 เพื่อให้สถานะบริษัทถูกทิ้งร้าง ซึ่งเป็นการตัดตอนการสืบสวนเส้นทางการเงินผู้ที่อยู่เบื้องหลังที่แท้จริง

ทั้งนี้นายเศรษฐา เป็นหนึ่งในกรรมการของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ และ บริษัทลูก โดยนายเศรษฐาจะอ้างว่าเป็นคนเซ็นอย่างเดียวหรือเปล่าไม่รู้ และกล่าวว่าหากเป็นนายกฯ ก็จะเซ็นอย่างเดียวหรือเปล่าไม่รู้ เพราะบุคคลต่างๆเหล่านี้เป็นนอมินีของคุณนั่นเอง

นายชูวิทย์ ตั้งข้อสังเกตุว่าในวันที่ 11 ก.พ.2558 มีการทำธุรกรรมด้านธุรกิจพร้อมกันถึง 3 รายการ ประกอบด้วย

1.สัญญาหนังสือจำนองที่ดิน บ.นอมินี 465 ล้านบาท

2.สำเนาการเปลี่ยนบัญชีผู้ถือหุ้น เป็นนอมินี 3 คน เพื่อเปลี่ยนโครงสร้างบริษัท และ

3.เอกสารให้กู้เงินของบริษัทลูกของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไปให้บริษัทนอมินี 1,000 ล้านบาท ซึ่งนายชูวิทย์ ต้องข้อสังเกตว่าโดยปกติแล้วการทำธุรกรรมทางด้านธุรกิจจะไม่เกิดขึ้นแบบนี้ในวันเดียวกัน

พร้อมตั้งข้อสังเกตบุคคลเหล่านี้ เป็นคนของคุณหรือเปล่า ถ้านายเศรษฐา ขึ้นเป็นนายกเมื่อไหร่ ต้องให้คนขายกล้วยแขก คนขายลูกชิ้น ไปสีลม ทองหล่อ และชี้ซื้อที่ดินแปลงนั้นแปลงนี้ โดนไม่ต้องเช็คเครดิต และสามารถให้กู้ได้ 1 พันล้านเลยหรือ

จากนั้น นายชูวิทย์ ทำทีโทรศัพท์ เลียนแบบนายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย โทรหานายทักษิณ แล้วพูดว่า “ฮัลโหลๆ นายครับ เรื่องใหญ่แล้วล่ะครับ เศรษฐาโดนแฉ มันให้รปภ. กับแม่บ้านกู้พันล้าน งานนี้ไอ้เบ้งมันได้เงินมา แล้วมันไปแบ่งใคร ชิบหายแล้ว”

จากนั้น คุณชูวิทย์บอกว่ารู้สึกคอแห้งให้เอาน้ำมาหน่อย ทีมงานจึงยกแก้วน้ำสีเหลืองใส ปิดสติกเกอร์ข้อความว่า “มิ้นท์ฉี่” ต่อมานายชูวิทย์ยังได้มีการโชว์แก้วที่ภายในบรรจุน้ำสีเหลือง พร้อมระบุว่า พวกคุณกินมิ้นต์ช็อก ประชาช็อก ส่วนตนก็กินมิ้นต์ฉี่แทน พร้อมทั้งแซวฝากไปให้นายสนธิ ลิ้มทองกุล อีกด้วย

จังหวะหนึ่งเกิดเหตุการณ์ชุลมุน เนื่องจากนายชูวิทย์ ได้ฝากบอกนักข่าวชายรายหนึ่ง ซึ่งต่อมาทราบว่าเป็นนักข่าวของคุณสนธิ ซึ่งอยู่ภายในห้องแถลงข่าวว่า รอบหน้าให้นายสนธิมาเอง อย่าส่งลูกกระจ๊อกมา ทำให้เกิดการโต้เถียงกันดุเดือด โดยนายชูวิทย์ กล่าวอ้างว่า ชายรายดังกล่าวไม่ใช่นักข่าว และสอนให้มีจรรยาบรรณ อย่าเขียนโจมตีตน อย่าเอาเรื่องไม่จริงมาพูด และจะฝากให้นำคำพิพากษาไปให้นายสนธิ

ทำให้นักข่าวชายกล่าวตอบโต้ว่า อันไหนเขียนไม่ตรงก็ฟ้องไปเลย เพราะตนไม่ใช่คนเขียนทุกอย่างทั้งหมดคนเดียวเสียหน่อย ส่วนไหนที่เมเนเจอร์เขียนก็ส่วนหนึ่ง ตนไม่ได้รับทำหน้าที่นั้นๆ จะมาบอกว่าตนไม่ใช่นักข่าวไม่ได้ ทำให้นายชูวิทย์ กล่าวตอบกลับว่า หากอยากฟังก็ฟัง ไม่ฟังก็ออกไปได้ พร้อมกับห้ามไม่ให้เข้ามาอีก และเชิญออกจากที่แถลงข่าว และยังจะฝากมิ้นต์ฉี่ไปให้นายสนธิด้วย เป็นเหตุให้นักข่าวรายดังกล่าวไม่พอใจ เพราะถูกเอ่ยชื่อพาดพิงในห้องแถลงข่าวบ่อยครั้ง และยังกล่าวโจมตีว่าไม่ใช่นักข่าว เป็นเด็กของนายสนธิ จึงขอปลีกตัวออกจากห้องแถลงข่าวทันที

หลังเหตุการณ์สงบ นายชูวิทย์ ยังระบุว่า การครั้งนี้ เป็นการแฉเพื่อชาติครั้งสำคัญ ซึ่งการแฉครั้งสำคัญนี้ ได้ถึงจุดหมมายปลายยทางเมื่อนายเศรษฐา ไม่ผ่านการโหวตนายกฯ ไม่ว่าในวันที่ 18 ส.ค.หรือ 22 ส.ค. ภารกิจแฉเพื่อชาติของตนก็จะจบลงโดยทันที

โดยหลังจากการแถลงข่าว ผู้สื่อข่าวได้นำเค้กมาเซอร์ไพรส์วันเกิดให้กับคุณชูวิทย์ ก่อนที่คุณชูวิทย์จะกล่าวขอบคุณและบอกว่าวันเกิดปีนี้ อาจจะเป็นวันเกิดปีสุดท้ายที่ได้ฉลองวันเกิด