"ปดิพัทธ์" ชี้ หากต้องพ้นจากตำแหน่งรองประธานสภาก็เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ยัน ไม่เครียด พร้อมทำทุกหน้าที่ หลายเรื่องสามารถดันได้ในบทบาท สส.

นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 กล่าวถึงกรณีที่ นายวิษณุ เครืองาม ระบุว่าตามรัฐธรรมนูญหากพรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน นายปดิพัทธ์ จะต้องออกจากตำแหน่งรองประธานสภาฯ ว่า สิ่งที่นายวิษณุพูดถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งก็ไม่ทราบว่าเหตุใดรัฐธรรมนูญ 60 จึงเขียนแบบนี้ ตนก็ไม่ทราบเจตนารมณ์ ประเทศอื่นก็ไม่ได้ห้ามเอาไว้ แต่ก็แน่นอนว่าในรัฐธรรมนูญได้บันทึกเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจน

ส่วนพรรคก้าวไกลคงให้ทางพรรคหารือกันเอง เพราะกลายเป็นว่าจะต้องเลือกตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง เนื่องจากตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร จะต้องไม่มีสมาชิกพรรคที่มาจากตำแหน่งใน ครม. ประธานสภาผู้แทนราษฎรและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งถือว่าเป็นกิจการภายในของพรรคก้าวไกล ตนไม่ขอก้าวล่วง และไม่ทราบรายละเอียดว่ามีการหารือกันแล้วหรือไม่ เนื่องจากตนไม่ได้เข้าประชุมพรรค และเป็นหน้าที่ของกรรมการบริหารพรรค

ส่วนมีการเตรียมตัวอย่างไรบ้างนั้น นายปดิพัทธ์กล่าวว่าตนพร้อมในทุกบทบาทแล้ว ตอนนี้ยังเป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎรอยู่ ก็ได้ทำตามวิสัยทัศน์ที่ได้ประกาศเอาไว้ให้เรียบร้อย ทั้ง Smart และ Open Parliament และหากไม่เป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎรก็ยังมีบทบาทของ สส. และกรรมาธิการฯ ก็สามารถ ทำหน้าที่ได้อย่างเต็มภาคภูมิเช่นกัน ไม่ได้รู้สึกเสียดาย

ส่วนกรณีที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์หัวหน้าพรรคก้าวไกล ถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ หากรับตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรจะมีเงื่อนไขอย่างไรนั้น นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า เดี๋ยวค่อยว่ากัน เพราะเรื่องของนายพิธา ก็กำลังเจออยู่ว่าเป็นความไม่แน่นอนของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งต้องปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ ส่วนมีโอกาสที่จะเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคเพื่อรับตำแหน่งหรือไม่ นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า ตนไม่ทราบ

ส่วนจะผลักดันให้สภา เป็นสภาของประชาชนอย่างไรนั้น หากต้องออกจากตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร นายปดิพัทธ์กล่าวว่า ตนจะไปผลักดันต่อในคณะกรรมาธิการกิจการสภาผู้แทนราษฎร และข้อเสนอหลายอย่างนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎรก็เห็นด้วย และตรงกับวิสัยทัศน์ของเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรอยู่แล้วจึงคิดว่า สิ่งที่ตนเสนอสามารถไปต่อได้

เมื่อถามยามว่าตั้งหลักอย่างไร เมื่อพรรคเพื่อไทยไปเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแล้ว นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า ขณะนี้ ขอโฟกัสที่งานของตัวเอง และย้ำว่าไม่มีความเสียใจ

นายปดิพัทธ์ ยังกล่าวย้ำว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเพราะรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2560 ที่มีปมปัญหาเยอะไปหมด ดังนั้นกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่จะมาจากประชาชนจริงๆและเข้าใจกระบวนการ ว่าประเทศเราควรจะไปอย่างไร สร้างรัฐสภาแบบไหน ซึ่งไม่ใช่มีเฉพาะปมนี้ แต่ยังมีปมให้สว. มาแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ซึ่งฝ่ายที่เครียดไม่ใช่ตนแต่เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลขณะนี้และประชาชนที่จับตาดูอยู่

ส่วนยังหวังหรือไม่ว่าพรรคเพื่อไทยจะกลับมาง้อขอร่วมรัฐบาล นายปดิพัทธ์กล่าวว่าตนไม่มีความเห็น และเป็นงานของฝ่ายเจรจาที่จะไปเจรจากันเอง

ส่วนกรณีที่พรรคเพื่อไทยพร้อมขอโทษและขอขมาพรรคก้าวไกล เพื่อให้ประเทศเดินหน้าไปได้นั้น นายปดิพัทธ์ ย้ำว่า ทุกอย่างเต็มเรื่องของทีมเจรจา ซึ่งตนเป็นคนวงนอกมากๆ ก็ขอทำงานของตัวเองหากมี 1วัน ก็ทำ 1 วัน หากที 4 ปีก็ทำ 4 ปี
และตนก็ไม่ได้คิดอะไร และคิดว่าตอนนี้หลายอย่างก็ผลักดันได้เร็วกว่าที่คิด ดังนั้น ก็ยังทำงานเต็มที่ ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนก็ตาม แต่ก็รู้สึกแปลกที่พรรคอันดับ 1 ชนะการเลือกตั้ง เสียงอันดับ 1 ไม่ได้เป็น แกนนำจัดตั้งรัฐบาล ไม่ได้เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร ไม่ได้เป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร และคิดว่าความแปลกพวกนี้เกิดจากรัฐธรรมนูญปี 60 กับการสืบทอดอำนาจของคสช. ซึ่งคิดว่าอย่าไปคิดเป็นสาระที่จะต้องยึดเอาไว้

ส่วนมองว่าพรรคก้าวไกลพลาดตั้งแต่ต้นที่ปล่อยตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรให้กับพรรคอื่นหรือไม่ นายปดิพัทธ์ระบุว่าไม่มีอะไรพลาด ทุกอย่างเป็นการเจรจาที่ดีที่สุดในตอนนั้น และอยากบอกกับประชาชนว่าการเมืองตอนนี้ หลายท่านก็เครียด เพราะมีการเปลี่ยนแปลงรายวัน ก็อยากให้ติดตามการเมืองและเชื่อใจ ว่ากระบวนการต่างๆเดินหน้าได้ พรรคที่แต่ละท่านเลือกมา ก็ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน ขอให้ประชาชนจับตาดูและตัดสิน ไม่ต้องเครียดมากเพราะยังมีเรื่องใหญ่ๆอีกเยอะ เส้นหากมีการ แก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อยกร่างใหม่ก็ต้องมีการทำประชามติหลายรอบ จะต้อง มีเรื่องการตั้ง สสร. จึงเป็นสิ่งที่ตื่นเต้นที่จะต้องทำร่วมกับประชาชนอีกเยอะ