ชมพู่ ร่ำไห้กอดทีละศพเหยื่อยิงยกครัว อุ้มลูกชายคนเล็กขึ้นรถไปวัด พร้อมเผยอดีตแฟนเป็นคนอารมณ์ร้อน ทำร้ายร่างกาย

8 ส.ค. 66 เมื่อเวลา 16.00 น. นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี พร้อมด้วย น.ส.ชมพู่ ญาติของ 4 ผู้วายชนม์จากเหตุการณ์อดีตสามีวินมอเตอร์ไซต์ฆ่ายกครัวก่อนยิงตัวตายตาม เดินทางมายังแผนกนิติเวช โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช เพื่อรับทั้ง 4 ศพไปบำเพ็ญกุศล ณ ศาลา 6 วัดเกาะสุวรรณาราม เขตสายไหม

ทันทีที่เดินทางมาถึง น.ส.ชมพู่ พร้อมญาติได้เดินทางเข้าไปดูศพทั้ง 4 คนในห้องเก็บศพทันที ด้านนางปวีณาเปิดเผยว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาทางมูลนิธิได้รับแจ้งร้องเรียนจากนางสาวชมพู่ผ่านทาง facebook โดยนางสาวชมพู่มีอาการเครียด นอนไม่หลับทั้งคืน และสภาพจิตใจย่ำแย่อย่างมาก จึงประสานขอให้ทางมูลนิธิ เข้ามาช่วยเหลือฟื้นฟูสภาพจิตใจและค่าทำศพทั้ง 4 ศพ เนื่องจากนางสาวชมพู่ไม่มีเงินเพียงพอที่จะจัดงานศพ

โดยทางมูลนิธิได้ประสานที่จะให้นำทั้ง 4 ศพ ไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดเกาะสุวรรณาราม เขตสายไหม โดยจะจัดพิธีรดน้ำศพในเวลา 16.30 และสวดพระอภิธรรมศพ เวลา 18.00 น. อีกทั้งได้ประสานกับทาง ผกก.สน.ทุ่งสองห้อง ว่า จะพานางสาวชมพู่ ไปให้การเพิ่มเติมภายหลังจัดการพิธีศพแล้วเสร็จ

นางปวีณา ระบุว่า สถานะความสัมพันธ์ระหว่างนายสมชาย ผู้ก่อเหตุ กับนางสาวชมพู่นั้น ทั้งคู่ได้หย่าขาดเลิกลากันไปสักพักหนึ่งแล้ว ซึ่งเป็นการหย่ากันด้วยดีและฝ่ายชายขอหย่าเอง อย่างไรก็ตาม ฝ่ายชายยังคงตามมาง้อขอคืนดี แต่ด้วยความที่ฝ่ายชายเป็นคนอารมณ์ร้อนและทำร้ายร่างกายฝ่ายหญิงโดยตลอด น.ส.ชมพู่ จึงไม่จึงไม่อยากกลับไป กลายเป็นว่าฝ่ายชายพยายามพูดข่มขู่ น.ส.ชมพู่ ตลอดว่า ถ้าหากว่าไม่คืนดี จะทำให้นางสาวชมพู่เสียใจที่สุด ช้ำใจที่สุด ซึ่งที่ผ่านมานางสาวชมพู่ไม่เคยรู้เลย ว่านายสมชายจะกระทำการรุนแรงถึงขนาดนี้และยังสงสัยว่า เหตุใดถึงลงกับครอบครัวลงกับลูกได้ถึงเพียงนี้ อย่างไรก็ตามนายสมชายไม่มีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติดแต่อย่างใด ส่วนเรื่องการคบซ้อนนั้นไม่น่าใช่ประเด็นสำคัญ

นางปวีณายังเล่าอีกว่า สาเหตุที่นางสาวชมพู่ไม่มีแม้กระทั่งเงินที่จัดงานศพให้ลูก เพราะเนื่องจากเมื่อวานนี้ก่อนเกิดเหตุนางสาวชมพู่เพิ่งโอนเงินจำนวนหนึ่งเป็นค่าเล่าเรียนให้กับบุตรทั้งสองคนที่เสียชีวิต และเมื่อวานนี้ตอน 19.30 น. ลูกชายวัย 9 ขวบได้โทรมาหาตน แต่ไม่มีเสียงพูดจากฝั่งลูกชาย ซึ่งนางสาวชมพู่ก็สงสัยว่า ทำไมถึงไม่มีเสียงอะไรเลย จึงคาดว่าตอนนั้น ลูกชายอาจจะ โทรมาขอความช่วยเหลือ แต่ไม่กล้าพูด ภายหลังจึงทราบข่าวว่าลูกชายถูกยิงแล้ว

ทั้งนี้ นางปวีณายังสะท้อนปัญหาความรุนแรงในครอบครัวอีกว่า เกิดขึ้นถี่อย่างมากในช่วงเวลาที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันแก้ไขปัญหา โดยสำหรับเหตุการณ์ครั้งนี้ ถือเป็นเหตุการณ์ที่น่าเศร้าสลดใจอย่างยิ่งและขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวนางสาวชมพู่ รวมทั้งยืนยันว่า มูลนิธิจะให้ความช่วยเหลือทั้งทางคดีและจัดการงานศพให้ถึงที่สุด

ในเวลาต่อมา เจ้าหน้าที่ได้นำศพ ทั้ง 4 ศพ ออกมาจากนิติเวชเพื่อนำขึ้นรถอาสาสมัคร ซึ่งในระหว่างนั้น นางสาวชมพู่ได้เข้าไปโอบกอดทีละศพและร่ำไห้ออกมา โดยเฉพาะศพลูกชายคนเล็กวัย 7 ขวบนั้น นางสาวชมพู่เป็นคนอุ้มขึ้นรถด้วยตนเอง บรรยากาศในขณะนั้นเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและหดหู่ใจอย่างยิ่ง

จากนั้น น.ส.ชมพู่ ได้เปิดใจกับสื่อมวลชนหลังจากส่งศพทั้ง 4 ศพขึ้นรถอาสาสมัคร โดยนางสาวชมพู่ระบุว่า ผมทราบข่าว จากคนในตลาดว่าแม่ถูกยิง ตนจึงรีบโทรหาป้าแต่ปรากฏว่าป้าไม่รับสาย ซึ่งถือว่าเป็นลางสังหรณ์ที่ไม่ดีเพราะป้าไม่เคยไม่รับสายตน เมื่อเดินทางกลับมาถึงก็พบว่าทั้ง 4 คนถูกยิงแล้ว

ส่วนนายสมชายนั้น ตนคบหาดูใจมาได้มากกว่า 6 ปี  ตลอดที่ผ่านมาตนมาก็ถูกทำร้ายร่างกายมาโดยตลอด จนสุดท้ายจึงตัดสินใจตกลงกันที่จะจดทะเบียนหย่า แต่ทว่าฝ่ายชายยังตามราวี เพื่อหวังขอคืนดี ตนก็ไม่อยากกลับไป จนทำให้ตนถูกข่มขู่มาตลอดว่า ฝ่ายชายจะทำให้ตนเจ็บช้ำใจมากที่สุด หากไม่ยอมกลับไปคืนดี ซึ่งก็ไม่คิดว่าจะมาก่อเหตุลงกับครอบครัวของตนเช่นนี้ ตอนนี้เชื่อว่าสาเหตุของเหตุการณ์ครั้งนี้คือขึ้นมาจากความต้องการของนายสมชายที่อยากให้ตรงกลับไปอยู่ด้วย

นางสาวชมพู่ระบุอีกว่า ตนรู้จักนายสมชายดีมาโดยตลอดว่าเป็นคนที่มีพฤติกรรมรุนแรง อารมณ์ร้อน หัวรุนแรง และมีอาวุธปืน แต่ที่ผ่านมาตนสามารถปรามไม่ให้เกิดเหตุรุนแรงใช้อาวุธปืนได้ โดยทุกครั้งตนจะเป็นคนที่นิ่งใส่นายสมชายตลอด ซึ่งนายสมชายก็จะหยุดและไม่ทำอะไรอีก ตนยืนยันว่า หากเมื่อคืนนี้ตนยังอยู่ที่คอนโด จะไม่เกิดเหตุการณ์รุนแรงเช่นนี้อีก เพราะตอนเป็นคนเดียว ที่สามารถทำให้นายสมชายไม่กล้าใช้ความรุนแรงกับคนอื่น

ส่วนประเด็นที่มีข้อครหาเรื่องคอนโด ตนยืนยันว่า เป็นน้ำพักน้ำแรงที่ทั้งตนและนายสมชายร่วมกันหาเงินมาซื้อห้อง ไม่ใช่นายสมชายซื้อแค่ฝ่ายเดียว ซึ่งทั้งคู่ตกลงกันที่จะให้เป็นชื่อของนายสมชายเป็นเจ้าของ ส่วนเมื่อเช้าที่ตนกลับไปคอนโดนั้น เพื่อเข้าไปเอากุญแจรถและกระเป๋าของลูกชายตนเท่านั้น ไม่ได้นำทรัพย์สินอื่นใดออกมาอีก

ส่วนประเด็นที่นายสมชายไม่สามารถติดต่อตนได้จนเป็นชนวนเหตุครั้งนี้นั้น เกิดขึ้นจากการที่ตนเพิ่งเปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่ จึงทำให้นายสมชายไม่สามารถติดต่อตนได้