เหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจ อ้างปืนลั่นเข้าขมับหลานชายวัย 14 ปี จนได้รับบาดเจ็บสาหัส ล่าสุด ญาติลั่นจะเอาเรื่องถึงที่สุด ขณะที่เพื่อนผู้บาดเจ็บยอมรับ วันเกิดเหตุมาเที่ยวงานบวช แล้วไปมีเรื่องกับกลุ่มวัยรุ่นก่อนจะพากันหนีออกจากวัด กระทั่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจทำปืนลั่นใส่ศีรษะ 

 

วันที่ 10 กรกฎาคม 2566 ความคืบหน้ากรณี นางติ๋ม อายุ 62 ปี ชาวบ้านตำบลปากช่อง อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ ร้องเรียนกับผู้สื่อข่าวว่า หลานชาย คือเด็กชาย ธนวัฒน์ อายุ 14 ปี ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ้านกลาง ใช้อาวุธปืนยิงเข้าที่บริเวณศีรษะ จนทะลุ อาการสาหัส ขณะนี้นอนรักษาตัวอยู่ในห้องไอซียู ของ โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ โดยเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม ทางผลคดี เนื่องจากผู้ก่อเหตุเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ เหตุเกิด ในพื้นที่ตำบลบ้านกลาง อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ เมื่อช่วงเย็นวันที่ 6 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ส่วนเหตุการณ์คือ ฝ่ายผู้บาดเจ็บ อ้างว่า ผู้บาดเจ็บรวมทั้งเพื่อนๆ ได้เที่ยวงานบวชที่วัด เมื่องานใกล้เลิกจึงได้ขี่รถจักรยานยนต์ซ้อน 3 โดยคนเจ็บ นั่งท้ายสุด และขับรถเลาะไปตามทางเรื่อย ๆ สักพักได้มีรถตำรวจขี่มาประกบพร้อมกับเบียดจนรถเสียหลักล้มลงและมีเสียงปืนดังขึ้น ปรากฏว่าเด็กชายธนวัฒน์ ผู้บาดเจ็บ ถูกอาวุธปืนเข้าที่หัวจนทะลุ โดยฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทราบชื่อคือ  ร.ต.อ.อุดม เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ้านกลาง อ้างว่าปืนลั่น  ซึ่งต่อมาได้ถูกแจ้งข้อหา “ กระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายสาหัส” ซึ่งได้ถูก ดำเนินคดีตามกระบวนการสอบสวนตามกฎหมาย นั้น

 

ล่าสุดวันนี้ เพื่อนผู้บาดเจ็บได้พาผู้สื่อข่าวเดินทางไปดูสถานที่เกิดเหตุจริง ซึ่งเป็นถนนลูกรัง แต่ฝ่ายเพื่อนผู้บาดเจ็บก็ยอมรับว่า วันที่ไปเที่ยวงานบวช วัยรุ่นอีกฝ่าย มีเรื่องทะเลาะกับพวกตนเองจริง  พวกตนจึงพากันหลบหนีออกจากจุดเกิดเหตุ โดยคนเจ็บได้พกพาอาวุธมีดมาด้วย ซึ่งภายหลังได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจทำการยึดไปก่อนแล้ว หลังเกิดเหตุทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ยังพาพวกตนไปปล่อยเอาไว้ที่กระท่อมกลางนาอีกด้วย

นางสาวเอื้อมพร อายุ 40 ปี ป้าผู้บาดเจ็บ ได้ออกมาร้องเรียนต่อผู้สื่อข่าวว่าเรื่องนี้ตนเองคงไม่ยินยอม และจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 

 

จากการสอบถาม นางสาวเอื้อมพรเล่าว่า ตนเองไม่เชื่อว่าหลานถูกปืนลั่นใส่ เพราะว่าหากปืนลั่นจริง ต้องลั่นไปถูกที่อื่น ไม่ใช่ลั่นไปที่หัวเด็ก อาจลั่นขึ้นฟ้าก็ได้ ยิงไปที่อื่นก็ได้ แต่ทำไมเขาต้องเอาปืนมาใช้กับเด็ก ซึ่งตอนนั้น เด็กเขาก่อเหตุยังไง มีอาวุธที่จะยิงตำรวจหรอ คุณถึงต้องใช้อาวุธปืนยิงเด็กขนาดนั้น ส่วนตัวยืนยัน จะดำเนินคดีกับตำรวจนายดังกล่าวให้ถึงที่สุด ตอนนี้มีการลงบันทึกประจำวันไว้แล้ว โดยหลังเกิดเหตุ ตำรวจนายดังกล่าว ก็ไม่เคยมาพูดคุยกับทางญาติผู้บาดเจ็บเลย ล่าสุดอาการของเด็กถูกยิง หลังจากได้เข้าเยี่ยมเมื่อตอนเย็น เขาก็มีปฏิกิริยาตอบโต้ เวลากำมือพูดคุย เรียกชื่อน้อง ว่ามีคนมาหา เขาก็จะตอบสนองด้วยการกำมือเรา แล้วยกขึ้น แสดงให้รู้ว่าเขาสู้ๆ ซึ่งทางญาติเชื่อว่า อาการของน้องดีขึ้นบ้างนิดหน่อย ซึ่งทางหมอที่รักษา เมื่อวานบอกว่า เม็ดเลือดปกติ ความดันปกติ ชีพจรการเต้นของหัวใจปกติ มีการให้น้ำเกลือ ให้อาหารเหลวทางสายยาง ส่วนตัวยังไม่การันตีว่าหลานจะรอด ยังประเมินไว้ 50:50 ไว้ก่อน ก็อยากจะฝากถึงตำรวจที่ก่อเหตุ อยากให้มาถามข่าวคราว ถามอาการของเด็ก มาดูเด็กบ้าง เพราะตอนนี้ผู้บาดเจ็บต้องการกำลังใจ แต่จนถึงขณะนี้ ตำรวจนายดังกล่าว ก็ยังไม่มา

 

ด้าน เด็กชายเออายุ 14 ปี เล่าว่า วันนั้นตนเองได้ออกจากบ้านมาเที่ยวงานแห่นาคที่วัดตามปกติ แต่มามีเรื่องกับอีกกลุ่ม ไปด้วยกันหลายคนเพราะเป็นงานของรุ่นพี่ วันนั้นตนเองยอมรับว่าได้พกมีดไปด้วย เพราะมีอีกกลุ่มมาหาเรื่องกลุ่มของตน ตอนที่เสียงปืนดังตนก็นั่งอยู่ในรถตำรวจ ซึ่งตำรวจบอกให้ตนนั่งอยู่ในรถไม่ต้องลงไป ขณะเดียวกันตำรวจได้นำตัวเพื่อนของตนที่ขับขี่รถจักรยานยนต์ขึ้นรถตำรวจ และจับไปไว้ที่เถียงนา ส่วนอาวุธเป็นของคนที่บาดเจ็บ ซึ่งตำรวจได้ทำการยึดไปเรียบร้อยแล้ว วันที่เกิดเหตุตนไม่รู้ว่าเพื่อนถูกยิง รู้แต่เพียงว่าเพื่อนตกรถ มารู้เรื่องจริงๆก็ตอนอยู่ สภ. แล้วเพราะเพื่อนได้โพสต์ลงเฟซบุ๊ก ซึ่งตนเองตกใจมาก นายอ่าง(นามสมมุติ)ยังกล่าวต่ออีกว่า ตอนนั้นตนยังไม่ทันออกจากวัดเลย ก็มาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับใส่กุญแจมือ ตำรวจมาด้วยกัน 4 คน จากนั้นก็นำตนขึ้นรถยนต์ออกมาตามเพื่อน ตอนนั้นตนไม่ได้หนี แค่จะวิ่งกลับบ้านเท่านั้น นายอ่าง(นามสมมุติ) กล่าวต่อว่า ตอนนั้นตนไม่เห็นตำรวจถือปืนเลย มาเห็นอีกทีก็ตอนที่ตำรวจเข้าไปใกล้เพื่อนของตนและทำการชักปืนออกมายิงเพื่อนของตนเลย โดยที่ไม่มีการพูดเตือนให้หยุดหรืออะไรก็ยิงเลย พอยิงเสร็จก็ชนรถจักรยานยนต์เพื่อนตนล้มไปเลย  หลังจากนั้นตำรวจก็จับตัวเพื่อน 2 คนของตนขึ้นรถกระบะขับไปไว้ที่เถียงนา ไม่ได้นำตัวไปที่ สภ. หลังจากนั้นตำรวจก็ได้ขับรถยนต์ออกมาประมาณครึ่งชั่วโมงหรือเกือบชั่วโมง ก็กลับเข้าไปที่เถียงนาพร้อมด้วยตำรวจอีกจำนวน 9 นายไปรับตนและเพื่อนมาที่ สภ. ตอนนั้นตนไม่ค่อยกลัวเท่าไร ซึ่งตนอยากฝากถึงตำรวจด้วยว่าขอให้เพื่อนของตนได้รับความเป็นธรรมและออกมาชดใช้ให้กับเพื่อนของตนด้วย