"รทสช." เสนอชื่อ "วิทยา" แข่ง "ปดิพัทธ์" ชิงรองประธานสภาฯ คนที่ 1 ทำให้ที่ประชุมต้องลงมติแบบลับ "ปดิพัทธ์" ยันจะทำทุกวิถีทางให้รัฐสภาสง่างาม มีศักดิ์ศรีไม่อยู่ใต้อาณัติฝ่ายบริการ ด้าน"วิทยา" มั่นใจจะสามารถรักษาเกียรติภูมิและหน้าตาของสภาให้เป็นที่เชื่อมั่นเชื่อถือของประชาชน

ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 1 ซึ่งเป็นครั้งแรกของสมัยประชุมนี้ โดยมี พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรชั่วคราว วาระเลือกตั้งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1

โดย นายประเสริฐ จันทรวงทอง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ในฐานะเลขาธิการพรรคเพื่อไทย เป็นผู้ลุกขึ้นเสนอชื่อ นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล เป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1

ขณะที่ นายอัครเดช วงศ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี รวมไทยสร้างชาติ ได้ลุกขึ้นเสนอชื่อ นายวิทยา แก้วภราดัย ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นรองประธานสภาฯ คนที่ 1 แข่งขันทำให้ที่ประชุมต้องลงมติแบบลับ

จากนั้นนายปดิภัทธ์ กล่าวแสดงวิสัยทัศน์ โดยระบุว่า ขอบคุณสำหรับเป็นเกียรติอันยิ่งใหญ่และความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ที่จะมีโอกาสได้สนับสนุนองค์กรในกระบวนการนิติบัญญัติและสนับสนุนงานของประธานสภาที่ได้รับความไว้วางใจจากสมาชิก

"เราอยากจะเห็นประชาชนกลับมามั่นใจในสภาผู้แทนราษฎรอีกครั้ง ในกระบวนการนิติบัญญัติที่กฎหมายทุกฉบับจะได้รับการพิจารณาอย่างมีประสิทธิภาพ เราจะทำให้สภานิติบัญญัติกลับมามีตัวตนและศักดิ์ศรี โดยไม่อยู่ใต้อาณัติของฝ่ายบริหาร ซึ่งเป็นสิ่งถูกต้องตามรัฐธรรมนูญที่ควรต้องยึดถือและสนับสนุนให้เกิดขึ้น"

เมื่อตนได้มีโอกาสดูภารกิจของสำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของตนเป็นอย่างมาก เพราะจะปรับเปลี่ยนให้สำนักงานอธิการเป็น Smart Parliament ปรับให้กระบวนการนิติบัญญัติมีคุณภาพตามมาตรฐานสากล

นำเสนอกระบวนการตรวจสอบระบบนิติบัญญัติที่สื่อมวลชนประชาชนและเพื่อนสมาชิกจะสามารถติดตามกระบวนการผ่านร่างกฎหมายต่างๆ ได้อย่างโปร่งใส ทำให้ประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับกฎหมายต่างๆ สามารถติดตามได้ เพราะเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย

และเสนอให้แปลกฎหมายที่ผ่านวาระ 3 แล้ว เป็นภาษาอังกฤษเพื่อยกระดับความรู้ และพัฒนาร่วมกับประชาคมโลก รวมถึงการส่งเสริมบทบาทความเท่าเทียมกันของสมาชิกที่มีความหลากหลายทางเพศ หรือผู้มีอายุต่ำกว่า 30 ให้มีบทบาทในการขับเคลื่อนสภาอย่างเข้มแข็ง รวมถึงบทบาทของสตรีที่จะต้องส่งเสริมให้มีความเท่าเทียมในสภา

ทั้งนี้ ยังหวังจะเห็นการบริหารจัดการองค์กรให้สะท้อนเสียงของประชาชนที่เสนอร่างกฎหมายเข้ามา เพิ่มความทันสมัยและก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ให้รัฐสภา สำนักเลขาธิการ สามารถบริการประชาชนและเพื่อสมาชิกได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

"หากผมได้รับการมอบหมาย จะใช้ 4 ปีที่มีอยู่ วางตัวให้เป็นกลางอย่างดีที่สุด และใช้ทุกความสามารถพัฒนาองค์กรนี้ให้มีขีดสมรรถนะสูง เป็นระบบราชการที่ทันสมัย ตอบสนองต่อประชาชน และการทำงานของเพื่อนสมาชิก" นายปดิภัทธ์ กล่าว

ด้าน นายวิทยา กล่าวว่า ขอบพระคุณที่ได้เสนอตนขึ้นมาที่จะเป็นรองประธานสภาคนที่หนึ่ง เพื่อปฏิบัติหน้าที่ควบคู่กับประธานสภาตามภารกิจที่มอบหมาย พร้อมระบุว่า ใจความสำคัญของการทำหน้าที่ของประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ หลักก็คือความเป็นกลาง ในสิ่งที่สำคัญก็คือรักษาองค์กรของสภานิติบัญญัติให้เป็นสภาที่ทรงเกียรติและเป็นสภาที่ศักดิ์สิทธิ์พอในการที่จะออกกฎกติกา กฎหมาย ให้กับบ้านเมือง แน่นอนประเทศของเราเป็นนิติรัฐ คือรัฐที่ต้องบริหารโดยกฎหมาย ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กติกาและกฎหมาย ที่นี่ประธานและองค์ประชุมของสมาชิกทั้งหมดคือสถานที่ที่จะออกกฎกติกาของสังคมทั้งหมด

"ผมเชื่อมั่นว่าถ้าทำหน้าที่ในตำแหน่งรองประธานสภาฯ ผมพร้อมที่จะปฏิบัติตามแนวนโยบายของประธานสภาและสามารถที่จะทำหน้าที่ให้ความเป็นกลาง ให้ความเสมอภาคกับเพื่อนสมาชิก และผมมั่นใจว่าจะรักษาเกียรติภูมิและหน้าตาของรัฐสภารัฐสภา สภานิติบัญญัติของเรา ให้เป็นที่เชื่อมั่นเชื่อถือของประชาชน"

นายวิทยา กล่าวต่อไป ให้ความมั่นใจกับเพื่อนสมาชิกได้ว่า จะระยะเวลาหนึ่งปีสองปีหรือกี่ปีในสมัยประชุมนี้ในสมัยของสภาชุดนี้ผมจะปฎิบัติหน้าที่อย่างเป็นกลางและรักษาเกียรติภูมิของสภาไว้ให้ดีที่สุด

โดยก่อนจะดำเนินการสู่การลงมติ สมาชิกจากพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกลได้เสนอว่า ควรกำหนดเกณฑ์ในการพิจารณาบัตรเลือกตั้งว่าเป็นบัตรดีหรือบัตรเสีย ว่าจะสามารถเขียนชื่ออย่างเดียวก็ได้ หรือจะมีทั้งชื่อและนามสกุลก็ได้ แม้จะสะกดผิดไปบ้าง แต่ถ้าเห็นเจตนาของการเลือกก็ให้ถือเป็นบัตรดี ซึ่งประธานในที่ประชุมวินิจฉัยว่า ให้เขียนเพียงชื่ออย่างเดียว ไม่ต้องเขียนนามสกุล แต่อย่าเขียนอย่างอื่น เพราะจะกลายเป็นบัตรเสีย

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้เลือกตัวแทน ส.ส.เป็นคณะกรรมการเพื่อนับคะแนน 6 คน ประกอบด้วย นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล นายศรัณย์ ทิมสุวรรณ ส.ส.เลย พรรคเพื่อไทย นางผกามาศ เจริญพันธ์ ส.ส.สุรินทร์ พรรคภูมิใจไทย นายอัครแสนคีรี โล่ห์วีระ ส.ส.ชัยภูมิ พรรคพลังประชารัฐ นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ส.ส.เพชรบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ และ นายสุไลมาน บือแนปีแน ส.ส.ยะลา พรรคประชาชาติ จากนั้นจะเชิญส.สมาคราวละ 20 คน เพื่อลงคะแนนแบบลับในคูหา