ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากแม่ของพลทหารใหม่รายหนึ่ง ชื่อนางสาวเอ (นามสมมติ) อายุ48ปี ซึ่งแม่ของพลทหารบี (นามสมมติ) อายุ18ปี สังกัดกองทัพอากาศ พร้อมเล่าว่า เมื่อวันที่15 พ.ค. ที่ผ่านมาโดยแม่ได้นั่งรถโดยสารเข้ากทม. เพื่อไปส่งลูกชายด้วยตัวเองและเข้ารายตัวแจ้งเพื่อเข้ารับราชการทหารตามที่ได้ลูกชายประสงค์ ที่อยากเป็นชายชาติทหาร ต่อมาลูกชายก็ได้ติดต่อมาเมื่อวันที่17พ.ค ผ่านครูฝึกโดยได้โทรวิดีโอคอลมาหาแม่ และตนได้ยินเสียงลูกร้องไห้พร้อมกับบอกว่าลูกเป็นลม และตามองไม่เห็น

โดยเมื่อ 15 พ.ค.66 เวลา 19.00 น. เข้าประจำการเป็นทหารกองเกิน สังกัดกองทัพอากาศ ครูฝึกสั่งลงโทษเพราะไม่ได้ยินตอนให้ขานชื่อวิดพื้นและสวอตจัมป์ถึงเช้า กระทั่งเวลา 05.00 น. ของวันที่ 16 พ.ค.66 ครูฝึกสั่งให้เข้าร่วมฝึกพร้อมกับเพื่อนๆทหารด้วยกันต่ออย่างหนัก

ทีมข่าวช่อง8 ลงพื้นที่ไปยังกองทัพอากาศ ซึ่งเป็นศูนย์ฝึกทหารใหม่ ของกองทัพอากาศ ได้รับข้อมูลจากแหล่งข่าวภายในกองทัพอากาศ โดยยืนยันข้อมูลว่า ขณะนี้ ทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และยืนยันว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในศูนย์ฝึกทหารใหม่ของกองทัพอากาศจริง โดยอยู่ระหว่างการขอผลการตรวจรักษาจากทางโรงพยาบาล3แห่ง เพราะหลังจากเกิดเหตุการณ์ได้มีการนำตัวส่งตัวพลทหารบี ไปรับการรักษาโรงพยาบาลในสังกัด2แห่ง คือ โรงพยาบาลสีกัน และโรงพยาบาลภูมิพล จากนั้นมีการส่งต่อเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ เพื่อที่จะให้ผลการตรวจรักษามีความต่อเนื่อง โดยหากได้รับผลการตรวจร่างกายและการตรวจรักษาจากโรงพยาบาล3แห่ง จะนำมาเป็นข้อมูลสำหรับการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงจากคณะครูฝึก ผู้ถูกกล่าวหา

ก่อนหน้านี้ทราบว่าตัวของพลทหารรายดังกล่าว ได้เข้ามาประจำการเป็นทหารกองเกินสังกัดของ กองทัพอากาศเมื่อวันที่ 15 พ.ค. จากนั้นเมื่อมีการฝึกได้ไม่ถึง2วัน เริ่มมีการรายงานบอกกับทางครูฝึกและหน่วยฝึกทหารใหม่ว่ามีอาการปวดหัว สายตาพามัว จนกระทั่งเมื่อวันที่ 18 พ.ค. ได้มีการส่งตรวจและรับการรักษาที่โรงพยาบาลแห่งแรกคือโรงพยาบาลสีกัน ก่อนที่จะมีการส่งไปพบแพทย์เฉพาะทางที่โรงพยาบาลภูมิพล แล้วยังได้มีการส่งต่อไปโรงพยาบาลแห่งที่3 คือโรงพยาบาลศูนย์รังสิต ดังนั้นตามขั้นตอน ภายหลังทราบว่าตัวของพลทหารรายดังกล่าวมีอาการไม่ปกติก็รีบมีการนำส่งโดยทันที

ขณะเดียวกันมีรายงาน ว่า มีพลทหารอีกหนึ่งรายที่เคยถูกทหารรายหนึ่ง และครูฝึก ลงโทษโดยใช้ถุงดำคลุมหัว และ ซ้อม เตะเข้าที่ด้านหลัง พร้อมสั่งให้ซ่อมอีก 3,500 ยก และยังถูกสั่งให้ทำท่าม้วนหน้า และ อีกหลายท่า ไปโรงอาหาร ถูกซ้อม 2 วันติดกัน จนเกิดอาการระแวง และ กลายเป็นโรคซึมเศร้าในเวลาต่อมา

ทีมข่าวช่อง8ได้เดินทางไปพบกับพลทหารเอก (นามสมมุติ) อายุ 18 ปี อยู่ในพื้นที่แห่งหนึ่ง ในจังหวัดขอนแก่น โดยได้เปิดใจกับเราว่า เมื่อก่อนตนเองทำอาชีพรับจ้างทั่วไป จนกระทั่ง 2 เดือนที่แล้ว ตนเองจึงได้สมัครเข้าเป็นทหาร เนื่องจากต้องการรับราชการทหาร เพราะอยากให้ครอบครัวสบาย ซึ่งได้ประจำการอยู่ที่ค่ายทหารแห่งหนึ่งในกรุงเทพ โดยอาทิตย์แรกที่ตนเองเข้าไปฝึกเป็นทหารยังเป็นการฝึกแบบทั่วไปไม่ได้หนักมาก

ต่อมาอาทิตย์ที่ 2 ยอมรับว่าการฝึกซ้อมเริ่มหนักขึ้น จนทนไม่ไหว จึงตัดสินใจหนีค่ายออกมาในช่วงกลางดึก เพราะทนคิดถึงบ้าน ก่อนที่ผู้ปกครองจะพากลับเข้าค่ายทหาร โดยครั้งแรกยังไม่ถูกทำโทษ แต่เป็นการคาดโทษไว้ก่อน

จากนั้นอาทิตย์ต่อมาอาทิตย์ที่ 3 การฝึกเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ ตนเองทนไม่ไหว จึงได้หนีออกจากค่ายอีกครั้ง พอครูฝึกทราบก็ให้ผู้ปกครองพากลับไปส่งที่ค่ายทหาร ซึ่งเมื่อไปถึงครูฝึกได้สั่งลงโทษตนเองด้วยท่าออกกำลังกาย ตั้งแต่ 3 ทุ่มจนถึง ตี2 ทั้งท่าวิดพื้น พุ่งหลัง ลุกนั่ง กระโดดตบ และท่าอื่นๆ อีกมากมาย ครั้งละ 50-100 ครั้งต่อท่า และสั่งม้วนหน้าจากจุดที่ถูกทำโทษไปโรงอาหาร โดยจะมีครูฝึกคอยคุมตลอด จนกระทั่งม้วนหน้าไปถึงโรงอาหาร ซึ่งตอนนั้นตนเองรู้สึกเวียนหัว จนไม่สามารถกินข้าวได้ ก่อนที่ครูฝึกจะสั่งให้ไปพัก จากนั้นวันถัดมาก็กลับมาทำโทษด้วยการออกกำลังกายอีกครั้งต่อตั้งแต่ 09.00น.จนถึงตี 2 โดยจะมีช่วงเวลาหยุดพักแค่ 5 นาที ซึ่งจะมีครูฝึกผลัดเปลี่ยนกันลงโทษ จนทำให้ตนเองต้องหยุดพักไป 2 วัน เพื่อรักษาอาการปวดระบมตามร่างกาย

จนล่าสุดครั้งที่ 3 ตนเองทนการฝึกและการถูกลงโทษไม่ไหว จึงได้ตัดสินใจหนีออกจากค่ายอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ครูฝึกจับได้ จึงถูกครูฝึกจับให้มานั่งที่เก้าอี้โซฟาเก่าๆ ที่ไม่มีเบาะรองนั่ง ซึ่งจะทำให้ก้นตนเองหย่อนลงกับพื้น จากนั้นครูฝึกก็ใช้ถุงพลาสติกสีดำคลุมหัวไว้ แต่ไม่ได้มัดที่ปากถุง ลักษณะคลุมไว้เฉยๆ จากนั้นก็ใช้เชือกมัดมือและขา ก่อนที่ครูฝึกจะเทเจลแอลกอฮอล์ลงพื้น ซึ่งตรงกับก้นตนเองหย่อนลงไป จากนั้นก็ใช้ไฟแช็กจุดเจลแอลกอฮอล์ให้ไฟลุก ซึ่งตอนนั้นตนเองใส่กางเกงจึงทำให้ไม่ร้อน จากนั้นครูฝึกก็เตะไปที่หลังตนเอง จำนวน 1 ครั้งแต่ไม่แรง ซึ่งครูฝึกที่ทำโษตนเองยอมรับว่า บางคนก็เข้าใจและไม่ทำโทษ แต่บางคนก็จำใจลงโทษ เพราะผู้บังคับบัญชาสั่งให้ลงโทษ

หลังจากที่ตนเองถูกสั่งลงโทษเสร็จ เวลาเดินผ่านทหารที่มียศสูงกว่าก็จะถูกสั่งให้กินใบไม้ขมๆ กินลูกปาล์ม ซึ่งตนเองก็ต้องทำตาม เพราะกลัวถูกลงโทษอีก จนปัจจุบันทำให้ตนเองกลายเป็นคนหวาดระแวง และเป็นซึมเศร้า จนต้องกินยาคลายเครียดทุกวัน และทุกครั้งที่ถูกสั่งทำโทษไม่สามารถโทรศัพท์แจ้งผู้ปกครองได้ เพราะครูฝึกจะยึดโทรศัพท์ไว้ จึงทำให้ผู้ปกครองไม่ทราบเรื่องที่ตนเองถูกทำโทษ

นอกจากนี้พลทหารเอก นามสมมติ ยังบอกอีกว่า ตนเองยังอยากจะรับราชการทหารเหมือนเดิม แต่ก็กลัวจะกลับเข้าไปในค่าย เพราะหากตนเองกลับเข้าไปที่ค่ายจะโดนลงโทษอีกแน่นอน เพราะโดนหมายหัวไว้แล้ว

ส่วนพลทหารบี ยอมรับว่าถูกลงโทษอย่างหนักจนตามองไม่ค่อยเห็น และจะเข้าค่ายวันที่ 4 ก.ค.66 ยอมรับว่าไม่อยากเข้าไป 

ทีมข่าวยังได้พูดคุยกับนายชาติชาย (นามสมมติ) อายุ68ปี อดีตทหารอากาศ ซึ่งปัจจุบันเกษียณราชการแล้ว บอกว่า ส่วนตัวทราบว่า ตอนนี้มีการตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงแล้ว ทุกอย่างก็ต้องเป็นไปอย่างโปร่งใสและให้ความเป็นธรรมสำหรับครอบครัวของผู้เสียหายอยู่แล้ว แต่ส่วนตัวตั้งข้อสังเกตว่า การที่พลทหารรายดังกล่าวมีปัญหาเรื่องของดวงตาและอาการปวดหัว อาจจะเป็นเพราะมีโรคประจำตัวหรือพบเนื้องอกอย่างที่มีรายงานจากการรักษาของโรงพยาบาลมาก่อนหรือไม่อย่างไร

ทั้งนี้เชื่อว่าผลการวินิจฉัยของทางโรงพยาบาลก็น่าจะชัดเจนมากขึ้นเนื่องจากตอนนี้กองทัพอากาศได้ผลดังกล่าวมาแล้ว

พลทหารแฉค่ายดังสั่งซ่อมจนตาบอด เหยื่อโผล่เพิ่มถูกทำโทษปางตายแค่หนีค่าย 3 หน