"นิกม์" แฉนักการเมืองถือหุ้นสื่อ เพราะต้องการรักษากติกา ระบุไม่เคยมีข้อขัดแย้งกับ "พิธา" ยันภท.-อนุทิน ไม่เอี่ยวเบื้องหลัง รับได้รับผลกระทบ ต้องปิดร้านยาที่เปิดมา 40 กว่าปี พนักงานหวั่นไม่ปลอดภัย เหตุโดนโทรป่วนติอต่อเป็นสัปดาห์

13 มิ.ย. 66 นายนิกม์ แสงศิรินาวิน ผู้สมัคร ส.ส.กทม พรรคภูมิใจไทย ชี้แจงกรณีการเปิดเผยกรณีการประชุมถือหุ้นสื่อไอทีวี และขณะนี้มีการโยงไปถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย อยู่เบื้องหลัง ว่า ยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพรรคภูมิใจไทย เป็นการดำเนินการโดยส่วนตัว ทั้งนี้การที่ตนเข้ามาอยู่ในพรรคภูมิใจไทยอาจจะเพราะผลงานในเรื่องของการเป็นผู้ก่อตั้งกลุ่มเส้นด้าย และการอยูในกมธ.สาธารณสุข สภาฯ แบบไม่มีค่าตอบแทน ช่วงโควิด-19 ระบาด ตนได้สัมผัสกับประธานฯ จึงมีความคิดอยากเข้ามาสังกัดพรรคภูมิใจไทย ขณะที่โปรไฟล์ในสมัยที่อยู่พรรคอนาคตใหม่ไม่มีคนรู้จักตน เพราะมันคือกระแส ตนผ่านเวทีส.ก. มีคะแนนเสียงคิดตัวหลักพัน

 

“ส่วนที่บอกว่าเป็นการทำส่วนตัวนั้น วันที่ตนอยู่ในพรรคอนาคตใหม่ ตนถือหุ้นอสมท. 2 หมื่นหุ้น ถือหุ้นไอทีวี 1.7 หมื่นหุ้น และลงสมัครส.ส. ด้วยความใหม่เราตีความเองว่าถือหุ้นสื่อได้ไม่เป็นไร แต่กลับพบว่าถือแล้วมีปัญหา จึงมีการศึกษาระเบียบกกต. ว่าห้ามถือหุ้นจนมาอยู่พรรคภูมิใจไทย มีการปรึกษาฝ่ายกฎหมาย ซึ่งพรรคชัดเจนว่าห้ามถือหุ้นประเภทนี้ และการที่ตนโพสต์ถึงเมืองนักการเมืองถือหุ้นนั้น ยอมรับว่าอยู่ในช่วงของการเลือกตั้ง ได้แต่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวพันกับว่าที่นายกรัฐมนตรี เพราะในวันนั้นประชาชนยังไม่ได้ใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ตนเองก็ไม่ได้ตรัสรู้ได้ว่าผลของการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร หรือจะไปขัดแข้งขัดขาว่าที่นายกรัฐมนตรี กลับกันถ้าข้อมูลที่ตนโพสต์ นายคนนั้นไม่ได้ผ่านการเลือกตั้งเข้ามาก็คงเงียบ แต่วันนี้เป็นเรื่องส่วนตัวที่ตนเคารพกติกา แต่คู่แข่งขันหรือผู้สมัครไม่ได้เคารพกติกา เพราะกติกาห้ามอยู่แล้วแต่ยังถือหุ้น จึงเกิดความวุ่นวาย” ยืนยันว่าเป็นการทำคนเดียว และไม่เกี่ยวข้องกถบนายอนุทิน รวมถึงจะไม่พยายามจะให้เกี่ยวข้องด้วย ไม่เช่นนั้นในช่วงเลือกตั้งตนคงออกมาแถลงข่าวหรืออกมาพูดแล้ว แต่เพราะเลือกตั้งเสร็จแล้วตนจึงออกมาพูด

 

ส่วนที่นายอนุทิน ให้สัมภาษณ์ ว่าตนทำไปด้วยเรื่องส่วนตัวในฐานะประชาชน ไม่เกี่ยวกับพรรคภูมิใจไทย จะเป็นการตัดหางปล่อยวัดไหม นายนิกม์ กล่าวว่า ไม่ ตนติดว่าท่านเป็นผู้ใหญ่และเข้าใจทุกอย่าง ตนเองในฐานะที่ออกมาพูดก็ไม่ได้มีการสวมเสื้อพรรคภูมิใจไทยแต่เป็นการออกมาพูดในนามของตนเอง เพราะคิดว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องการให้ประชาชนเห็นเสียงเหรียญสองด้าน เห็นข้อมูล 2 ด้าน

 

ส่วนประเด็นคลิปและเอกสารที่เผยแพร่ออกมาไม่ตรงกันนั้น ตนได้เห็นตามหน้าข่าว ส่วนจะเป็ยเอกสารจริงเท็จ ง่ายๆ คือไปเอาเอกสารที่บริษัทอันทัช หรือไอทีวี ซึ่งบริษัทระดับนี้ทำบัญชีเป็น KPMG การประชุมออนไลน์ผ่านเทคโนโลยี และการที่ตนกับนายภาณุวัฒน์ สอบถามเข้าไปน่าจะมีการบันทึกไว้ทั้งหมด เราไม่ต้องมาพูดกันตรงนี้ เพราะจะเหมือนว่าเป็นการเอาเรื่องนี้ยกมาอย่างนั้นอย่างนี้ และตนมองว่าสื่อไอทีวีถูกนักการเมืองเป็นผู้กระทำมากกว่า วันนี้ต้องพูดกันว่าไอทีวีในอนาคตจะเป็นอย่างไร

 

ขณะที่ประเด็นนายภาณุวัฒน์ เป็นนอมินีนั้น นายนิดม์ กล่าวว่า จากจะให้เป็นนอมินี ตนโอนหุ้นให้กับพ่อถือหุ้นแทนก็ได้ แต่นายภาณุวัฒน์ อยู่ในช่วงศึกษาการเล่นหุ้น จึงพาไปเที่ยวตลาดหลักทรัพย์ การขายหุ้นไปให้หลายคนถามว่าจะขายให้มีราคายังไง ตนโอนหุ้นการซื้อการขายหุ้น 4 ตัว อสมท. ไอทีวี โซลาร์ โซลาร์วอแลน เงินที่ลงทุนให้หุ้นขาดทุนตนไม่เคยขาย จะขายเมื่อมีกำไรเท่านั้น ซึ่งตนมี 4 ตัวในพอร์ต เพื่อจัดการตัวเองตามกติกาจึงมีการขาย 3 ตัวมีการโอนใส่พอร์ตหุ้น ใช้เวลา 7 วัน และไอทีวีออกกระดาษหุ้นใช้เวลา 14 วัน ซึ่งตั้งใจทำเป็นกระดาษเพื่อใส่กรอบไว้เป็นบทเรียน ยืนยันว่าการขายหุ้นไอทีวี เพราะตนต้องเคลียร์ตนเอง จึงขายเป็นแพคและมีการแถมหุ้นไอทีวีไปให้ ทั้งนี้ตนยังมองว่าไอทีวียังคงเป็นสื่อ เพราะถ้าวันนี้ตนถือนามบัตรของไอทีวี เดินเข้างานมอเตอร์โชว์ตนจะเข้าช่องไหนแน่นอนว่าจะต้องเข้าช่องสื่อมวลชน ความเป็นสื่อไม่ได้บอกแค่ว่สจะออนแอร์หรือไม่

 

เมื่อถามว่ามีปัญหากับนายพิธา มาก่อนหรือไม่นั้น ยืนยันว่าไม่มี การออกมาจากพรรคเพราะออกมาทำการกุศล จัดตั้งกลุ่มเส้นด้าย ซึ่งมองว่าไม่ควรสังกัดพรรคใดเพราะผู้สนับสนุนเขาทำด้วยการกุศล รวมถึงไม่ลงมัครพรรคเส้นด้าย เพราะมีทางเดินของตนเองและเลือกมาอยู่กับนายอนุทิน ส่วนที่มีกระแสข่าวว่าไม่ค่อยกินเส้นกัน ก็ไม่เป็นความจริง เพราะตั้งแต่เจอกันวันแรก ที่มีการเปิดตัวที่ศูนย์ประชุมสิริกิติ์แห่งชาติยังได้เจอกันที่มุมด้านนอก หลังจากนั้นการหาเสียง เช่น นโยบายกัญชา ตนก็มีส่วนร่วมเยอะในเรื่องดังกล่าวนี้

 

สำหรับการปะทะคารมกับนายวิโรจน์ ลักคณาอดิศร ในเชิงถูกข่มขู่ บอกให้ระวังตัวดีๆ นั้น นายนิกม์ กล่าวว่า ตนไม่ได้กลัวนายวิโรจน์ และรู้สึกว่าตัวเองโดนข่มขู่จริงๆ แต่ที่กลัวคือมวลชนที่นายวิโรจน์ พยามจะนำมาเป็นเกาะกำบังหรือจะใช้มวลชนมาทำร้ายตนหรือไม่ แต่ตนเชื่อว่ามวลชน เป็นมนุษย์มีความคิด ฟังได้ ดูได้ ว่าสิ่งที่นายวิโรจน์ ทำหรือพูด ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร และหากทำความรู้จักตนก็จะรู้ถึงตัวตนได้ ว่าไม่ได้เป็นผู้ร้าย เจตนาที่ออกมาคือต้องการให้รู้ว่ามีนักการเมืองถือหุ้นสื่อ ไม่ใช่หวังผลทางการเมืองแน่นอน และวันที่โพสต์ก็ทำก่อนวันเลือกตั้ง ย้อนกลับไปปี 2562 ก็เคยโพสต์ว่าไอทีวีทีวีเสรี จะถูกเยียวยาอย่างไร

 

เมื่อถามว่าการออกมาเคลื่อนไหวตอนนี้ได้รับผลกระทบหรือไม่ อย่างไร นายนิกม์ ระบุว่า แต่ตั้งแต่ที่นายวิโรจน์ได้มีการพูดเมื่อวานนี้ และเมื่อช่วงเช้าของวันนี้ ตนได้รับข่าวว่าพนักงานทั้งหมดของร้านขายยาตน ร้านยานพรัตน์ เปิดมา 41 ปี ปิดกิจการชั่วคราวแน่นอน เพราะ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่หรือผู้จัดการไม่ประสงค์จะทำงานเพราะกลัวความไม่ปลอดภัย เนื่องจากร้านของเราถูกโทรก่อกวนมาติดต่อกันเป็นสัปดาห์แล้ว ปกติเราจะมีเบอร์ฉุกเฉิน ซื้อยาขายยากลางคืน หากฉุกเฉินจริงๆจะมีการเปิดประตูร้าน แต่ขนาดนี้ถูกก่อกวนมาก และทุกคนกลัวในเรื่องของความไม่ปลอดภัย ดังนั้นมีอะไรขอให้มาหาตน มาพูดคุยกันได้ แต่อย่าไปละลานกิจการครอบครัวของตน ทั้งนี้ด้วยความที่น้ำเชี่ยว ใครๆ ก็บอกว่าน้ำเชี่ยวเอาเรืออกไปก็จม แต่เวลาจะเยียวยาเอง ข้อเท็จจริงคือข้อเท็จจริงสำหรับโดนหักออกมานำเสนอข้อเท็จจริงแล้วต้นไม่กลัวอะไรทั้งนั้น ขอให้เสพข่าวทั้ง 2 ด้าน

 

“ขอเปิดทางเดินให้ตนบ้าง ที่ยังเดินบนถนนเช่นเดียวกัน ร้านขายยาก็ต้องปิดแล้ว ทั้งๆ ที่ร้ายยาเปิดมานานไม่เคยไปสร้างความเดือดร้อนให้ใคร” ส่วนรู้สึกเสียใจไหม ที่ออกมาโพสต์เรื่องหุ้นสื่อ นายนิกม์ ระบุว่า ไม่เคยเสียใจกับสิ่งที่ได้กระทำไปแล้ว และไม่มีใครจ้างวาน ครอบครัวตนอยู่ได้ เราเป็นครอบครัวของคนชั้นกลาง คุณแม่ที่เสียชีวิตไปแล้วมีมรดกทิ้งไว้มากมาย ไม่เกี่ยวพรรคการเมือง ทำเพราะตนเองล้วนๆ เนื่องจากเป็ยคนรักษากติกาเท่านั้น

 

เมื่อถามว่าหากท้ายที่สุดตัดสินว่านายพิธาไม่ผิด พร้อมที่จะขอโทษเขา พรรคก้าวไกล และแฟนคลับหรือไม่ นายนิกม์ กล่าวว่า ตนไม่จำเป็นต้องขอโทษอะไรเลยเพราะข้อเท็จจริงคือข้อเท็จจริง การตัดสินไม่ใช่การตัดสินของตน และไม่ใช่หน้าที่ตนที่จะต้องไปตัดสินใคร นอกจากนี้ยืนยันว่าตนไม่รู้จักนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ไม่เคยเจอตัวจริงเห็นแค่ในทีวี ไม่มีดีลลับ ไม่มีการโทรคุย