มีกรณ์ไม่มีกูขึ้นเทรน! ฉะเป่าเรียกลุงมาตั้งรัฐบาล "ธนพร" เตือนหุ้นสื่อเข้าเท้าศัตรู

สืบเนื่องจากกรณีที่พรรคก้าวไกล ได้เจรจากับพรรคชาติพัฒนากล้า เพื่อตกลงโหวตให้พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี และเข้าร่วมรัฐบาล ทำให้มีเสียง 316 ที่นั่ง จนติดเทรนทวิตเตอร์

ขณะที่เพนกวิน โพสต์ข้อความ "ทางพรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายดึงเอาพรรคชาติพัฒนากล้ามาร่วมรัฐบาลจริงหรือไม่ ? และพรรคนี้ก็เคยมีจุดยืนคงกฎหมาย 112 ไว้ด้วยใช่หรือไม่ ? และแกนนำพรรคนี้ก็เคยเป่านกหวีดมาก่อนใช่หรือไม่ ? เรื่องนี้พรรคก้าวไกลต้องมีคำตอบที่ชัดเจน จะได้ไม่โดนตีกินหรือเป็นขี้ปากชาวบ้านไปเปล่า ๆ"

ต่อมาล่าสุด บัญชีทวิตเตอร์พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความชี้แจงกรณีการที่พรรคชาติพัฒนากล้า มาร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคก้าวไกล ว่า พรรคก้าวไกลขอน้อมรับคำวิจารณ์จากทุกท่าน ที่กังวลถึงการที่เราจะมีพรรคชาติพัฒนากล้ามาร่วมรัฐบาล พรรคขอชี้แจงว่าการพูดคุยกับพรรคชาติพัฒนากล้า เป็นไปบนหลักการว่าพรรคชาติพัฒนากล้าจะโหวตให้พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เพื่อให้จัดตั้งรัฐบาลตามฉันทามติของประชาชนได้ ส่วนการร่วมรัฐบาล จะเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดในข้อตกลงร่วม หรือ MOU ซึ่งนโยบายและจุดยืนของพรรคก้าวไกลจะเป็นเงื่อนไขหลักในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

ทั้งนี้ ส.ส. 2 คนของพรรคชาติพัฒนากล้า คือ นายเทวัญ ลิปตพัลลภ และ นายแพทย์ วรรณรัตน์ ชาญนุกูล

และเมื่อช่วงดึกที่ผ่านมา พรรคก้าวไกลออกแถลงการณ์อีกครั้ง ระบุว่า กรณีดังกล่าว ได้ทำให้เกิดกระแสวิจารณ์อย่างกว้างขวางจากประชาชน เจ้าหน้าที่พรรค คณะทำงานจังหวัด และสมาชิกพรรค ส่วนใหญ่มีความเห็นตรงกันว่าไม่สามารถยอมรับการเข้าร่วมรัฐบาลของพรรคชาติพัฒนากล้าได้ นอกจากนี้ ในที่ประชุมร่วมของว่าที่ผู้แทนราษฎรพรรคก้าวไกล ก็มีมติสอดคล้องกับประชาชนว่าไม่สามารถยอมรับได้เช่นกัน

ด้วยเหตุนี้ กรรมการบริหารพรรค จึงน้อมรับมติดังกล่าวมาปฏิบัติ เราจะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคชาติพัฒนากล้า และจะเดินหน้าพูดคุยและทำความเข้าใจเพื่อขอเสียงสนับสนุนจากสมาชิกวุฒิสภา เพื่อให้ได้เสียงพอในการโหวตนายกรัฐมนตรี และจัดตั้งรัฐบาลโดยเร็วที่สุด

พรรคก้าวไกลขอน้อมรับคำวิจารณ์ทั้งหมด และกราบขออภัยประชาชน ที่ทำให้ทุกท่านผิดหวัง พรรคก้าวไกลยืนยันว่าการจัดตั้งรัฐบาลก้าวไกล จะทำบนพื้นฐานจุดยืนทางการเมือง นโยบายหลักของพรรคตามที่ได้เคยหาเสียงไว้ รวมถึงขอโทษพรรคชาติพัฒนากล้า ที่ต้องยุติการเจรจาครั้งนี้

และสุดท้ายนี้ ขอบคุณพี่น้องประชาชน เจ้าหน้าที่พรรค และว่าที่ผู้แทนราษฎรก้าวไกลทุกคน ที่คอยตรวจสอบ ท้วงติงการทำงานของผู้บริหารพรรค เพื่อให้พรรคยืนหยัดในจุดยืน อุดมการณ์เดิมอย่างมั่นคง

พรรคใหญ่กว่าคน ประชาชนใหญ่กว่าพรรค

อีกประเด็นที่มีการพูดถึง ซึ่งเป็นภาพการร่วมรับประทานอาหาร ที่ปรากฏภาพของคุณธนาธร คุณช่อ และ คุณปิยบุตร

ล่าสุด นางสาวพรรณิการ์ วานิช (ช่อ) แกนนำคณะก้าวหน้า กล่าวถึงกรณีนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาฯสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จะไปยื่นร้อง กกต. ตรวจสอบ

โดยระบุว่า ตอนที่ไปร่วมงานเลี้ยงก็ไปอย่างเปิดเผย โปร่งใส นักข่าวก็อยู่เป็นร้อยคน ไม่ได้ไปแบบหลบๆซ่อนๆ ชัดเจนอยู่แล้ว และนายปิยบุตรพูดไปแล้วว่าเป็นการไปร่วมงานเลี้ยงฉลองชัยชนะ ส่วนตน ไปถึงร้านก่อน

เนื่องจากทางพรรคได้ให้ช่วยหาร้านอาหารดีๆ ซึ่งตนก็เป็นคนรู้จักร้านอาหารเยอะ จึงต้องไปดูความเรียบร้อยของร้านตั้งแต่ก่อนหน้านายปิยบุตรและนายธนาธรจะมา และตนทั้ง 3 คนไม่ได้ไปร่วมวงประชุมด้วย โดยช่วงเย็นก็ไม่ได้มีการพูดคุยอะไรที่เป็นสาระสำคัญทางการเมืองอยู่แล้ว เป็นการไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกันของคนที่หาเสียง ยืนยันว่า หาก กกต.เรียกก็พร้อมจะชี้แจง ไม่มีปัญหา ส่วนจะมองว่าเป็นเกมการเมืองหรือไม่ ตนเชื่อว่าประชาชนมองออก

ขณะเดียวกันวันนี้ นายสนธิญา สวัสดี อดีตที่ปรึกษากรรมาธิการ การกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร เดินทางมายื่นเรื่องร้องเรียนต่อ กกต. ให้สอบเรื่องการถือหุ้นสื่อบริษัทไอทีวีของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ว่าที่นายกรัฐมนตรีว่า เข้าข่ายมีลักษณะต้องห้ามในการลงสมัคร ส.ส. ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3)

"ขอให้กกต.ให้เร่งรัดตรวจสอบกรณีการถือหุ้นสื่อของนายพิธา ซึ่งไม่มีอะไรซับซ้อนเลย เพราะป.ป.ช. ก็แถลงแล้วว่า นายพิธาได้แจ้งเรื่องการถือหุ้นไปเรียบร้อยแล้ว ที่ผ่านมาก็มีคนร้องเรียนแล้ว กกต. จึงไม่ต้องพิจารณาวินิจฉัยอะไรมากมายไปกว่านี้ แต่ให้ส่งเรื่องไปสู่ศาลฎีกา หรือส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อโปรดวินิจฉัย หาก กกต.ไม่มีกระบวนการตามที่กล่าว อีก 2 สัปดาห์ ผมจะไปยื่นเรื่องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน แล้วถ้าภายใน 60 วันผู้ตรวจการแผ่นดินยังไม่เสนอไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ผมก็จะยื่นตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญ” นายสนธิญา กล่าว

ขณะเดียวกัน ผศ.ดร.ธนพร ศรียากูล ผองสถาบันวิเคราะห์การเมืองและนโยบาย เผย
กับทีมข่าวออนไลน์ช่อง 8 เมื่อ 15 พ.ค. 66 ว่า ผมไม่ได้บอกว่าคุณพิธาทำผิด ผมจะบอกว่าศาลรัฐธรรมนูญให้ไปดูคำวินิจฉัยปี 2563ซึ่งตอนนั้นร้องหุ้นสื่อกันไปกันมา ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล อย่างตอนนั้นมี ส.ส.หลุด 1 คนคือ ส.ส.กอล์ฟ เพราะศาลวินิจฉัยว่าบริษัทนั้น ดำเนินธุรกิจสื่ออยู่หรือเปล่า ถ้าดำเนินอยู่ก็ถือว่าขาด ซึ่งเรื่องนี้พูดตรงๆ ถ้าเป็นฟุตบอล เขาบอกว่าเช้าทางตีน

มีกรณ์ไม่มีกูเข้าทาง -ีน!