"หมอชลน่าน" พอใจฝ่ายค้านอภิปรายวันแรกบรรลุเป้า เย้ย "นายกฯ" ทำมาแล้ว 8 ปีแต่ยังล้มเหลว ยันไม่ได้หาเสียงในสภา แต่ข้อมูลทั้งหมดส่งผลต่อการตัดสินใจของ ปชช. พร้อมเผยเตรียมยื่นเอาผิดฝ่าฝืนจริยธรรมต่อ

นายแพทย์ชลน่าน​ ศรีแก้ว ผู้นำฝ่ายค้านและหัวหน้าพรรคเพื่อไทย​ ประเมินการอภิปรายของฝ่ายค้านในวันแรก ว่าการทำหน้าที่ของฝ่ายค้านทำหน้าที่ได้ดี​บรรลุเป้าหมาย นำเอาข้อเท็จจริง หรือปัญหาที่เกิดขึ้นมาอภิปรายในสภา เพื่อส่งต่อให้ครม.​พิจารณาและชี้ว่ากลายเรื่องจากการอภิปราย​ สามารถนำไปกล่าวหาตามมาตรา​ 151 ได้​ แต่การอภิปรายเมื่อวานไม่ได้กล่าวหาว่าใครผิดอย่างไร​แต่ชี้ให้เห็นถึงปัญหาในบ้านเมืองที่เกิดความเสียหาย​ซึ่งครม. มีหน้าที่บริหารโดยตรง จึงต้องเข้าไปดู ซึ่งประเด็นที่มีหลักฐานชัดสามารถนำไปยื่น องค์กรอิสระเพื่อพิจารณาเอาผิดต่อครม.ได้​ ส่วนจะดำเนินการเมื่อใดต้องดูจังหวะเวลาที่เหมาะสม เช่นประเด็นของ นางสาวจิราพร​ สินธุไพร​ ส.ส.ร้อยเอ็ดพรรคเพื่อไทย​  อภิปรายประเด็นที่มีความคาบเกี่ยวการประกอบธุรกิจที่ไม่ชอบ​ ที่มีการเอื้อประโยชน์ ส่วนในการกล่าวหารัฐมนตรี แม้ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรง แต่มีความผูกพันเกี่ยวเนื่อง การเอาผิดที่สามารถดำเนินการได้ คือการฝ่าฝืนจริยธรรม

 

ขณะเดียวกันนายแพทย์ชลน่าน​ ยังกล่าวถึงกรณีที่พลเอกประยุทธ์​ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงต่อที่ประชุมสภาฯและกล่าวว่าข้อมูลการอภิปรายของฝ่ายค้านนั้นเก่า และเป็นการหาเสียงในสภา​ฯ​ ว่า​ ข้อมูลในการอภิปรายคือข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และฝ่ายค้านอภิปรายให้เห็นว่าเป็นประเด็นปัญหา และจะต้องถามต่อครม. เพื่อหาแนวทางแก้ไข​ โดยย้ำว่าเรื่องการอภิปรายไม่ใช่เรื่องเก่าหรือเรื่องใหม่ แต่เกี่ยวข้องที่ว่าเป็นการบริหารราชการแผ่นดินหรือไม่

 

ส่วนการหาเสียงในสภาฯนั้น​ นายแพทย์​ชลน่านกล่าวว่า​ ได้มีการประกาศ จุดยืนของฝ่ายค้านแต่แรก ว่าจะมีการเปิดเผยข้อมูล ซึ่งย่อมส่งผลต่อการตัดสินใจของประชาชนก่อนการเลือกตั้งว่าประชาชนจะเลือกหรือไม่เลือ​ก​ ซึ่งฝ่ายค้านไม่จำเป็นต้องหาเสียงในสภาฯ​

 

ทั้งนี้นายแพทย์ชลน่าน​ ไม่ขอวิจารณ์ คำชี้แจงของนายกรัฐมนตรี​ ถึงกรณีบริษัทของหลานชายที่มีการอภิปรายวานนี้  แต่เชื่อว่า หากทุกคนได้รับฟังก็จะรู้ แม้นายกรัฐมนตรีจะมองว่าเป็นเรื่องเดิมในการอภิปราย แต่คำตอบของนายกรัฐมนตรีก็คือเรื่องเดิมๆเช่นกัน เป็นการตอบในลักษณะเลี่ยงว่าเป็นเรื่องของครอบครัว แต่นายกรัฐมนตรีไม่สามารถปฏิเสธความผูกพันเกี่ยวข้องเป็นญาติกันได้ และมีความผูกพันที่เกี่ยวข้องทางด้านนิตินัยและกฎหมาย​ เนื่องจากพ่อของหลานชายดำรงตำแหน่งเป็นส.ว.และเป็นทหาร​ที่มีอำนาจหน้าที่​ และเหตุที่เกิดขึ้น ก็เกี่ยวข้องกับอำนาจและหน้าที่นั้นด้วย​ จึงทำให้นายกรัฐมนตรีไม่สามารถปฏิเสธได้ ส่วนที่นายกฯได้ชี้แจงว่าทำมาแล้วตลอด 8 ปี​ที่ผ่านมา​ แต่กลับเกิดความล้มเหลว​ ทำให้ฝ่ายค้านต้องนำมาบอกกับประชาชน ว่ารัฐบาลทำไม่สำเร็จ แต่ยังอาสาที่จะทำต่อ