เป็นรถหรูผิดด้วยหรอ? เสี่ยเบนท์ลีย์เปิดใจ ความจริงเป็นแค่อุบัติเหตุธรรมดา ถ้าขับแท็กซี่ ขับรถธรรมดาคงไม่มีอะไร รับดื่มแชมเปญไป 2 แก้ว พร้อมแจงไวน์ในรถ และปมเคี้ยวหมากฝรั่ง

วันที่ 12 ม.ค.66 สืบเนื่องจากกรณีรถหรูเบนท์ลีย์เฉี่ยวชนรถยนต์ของผู้อื่น เป็นเหตุให้ได้รับความเสียหาย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ บริเวณบนทางพิเศษเฉลิมมหานคร กม.21+200B ขาออก แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กทม. ก่อนกลายเป็นกระแสขึ้นมา เนื่องจากคนขับรถหรูปฏิเสธไม่ยอมเป่าตรวจวัดแอลกอฮอล์ แต่ขอตรวจเลือดแทน ก่อนตำรวจจะออกมาชี้แจงแทนว่า สาเหตุที่ไม่เป่าเพราะมีอาการเจ็บหน้าอก ทำให้เป่าไม่ได้ กระทั่งผลตรวจเลือดออกมาพบมีปริมาณแอลกอฮอล์เพียง 10 กว่ามิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์เท่านั้น ท่ามกลางกระแสดราม่าว่าตำรวจไม่ยอมให้เป่าในตอนเกิดเหตุ ทำให้ปริมาณแอลกอฮอล์ลดลง แต่สุดท้ายตำรวจ บช.น. แจ้งข้อหาเมาแล้วขับ กับเสี่ยรถหรูเบนท์ลีย์ เนื่องจากฝ่าฝืนไม่ยอมเป่าแอลกอฮอล์ ให้สันนิษฐานว่า เมาแล้วขับ ตามที่เคยเสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุดนายสุทัศน์ สิวาภิรมย์รัตน์ หรือเสี่ยเบนท์ลีย์ เปิดใจกับรายการหนึ่ง โดยระบุว่า ปกติเป็นคนไม่ดื่มอยู่แล้ว เนื่องจากเป็นโรคกระเพาะและกรดไหลย้อน ทำให้ดื่มเครื่องดื่มที่อัดแก๊สไม่ได้ โดยในวันนั้นในโต๊ะอาหารก็ดื่มกัน มีสปาร์กกิ้งและแชมเปญ แต่ก็ยอมรับว่าดื่มไป 1-2 แก้ว แต่เพียงแก้วเล็ก ๆ เป็นพิธีเท่านั้น

ส่วนขวดไวน์ที่เจอในรถหรูหลังเกิดเหตุนั้น นายสุทัศน์เล่าว่า ไม่ได้ดื่มในวันนั้น แต่ก่อนหน้านี้ไปกับเพื่อน 4 คน โดยแฟนเพื่อนอยากได้ขวดไวน์นี้ เพราะเป็นไวน์นำเข้าจากต่างประเทศ และเป็นขวดไวน์เปล่า โดยเพื่อนเป็นคนเอามาและลืมทิ้งไว้บนรถของตัวเอง ยืนยันวันนั้นไม่ได้ดื่มไวน์ด้วย โดยวันเกิดเหตุดื่มแชมเปญ 1 ขวดและดื่มกัน 4 คน ส่วนตัวดื่มไปเพียง 1-2 แก้ว และแก้วเล็ก ๆ

นายสุทัศน์ กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นยืนยันไม่ได้ปฏิเสธการเป่าตรวจวัดแอลกอฮอล์ แต่วันเกิดเหตุมีกู้ภัย 30-40 คน และทุกคนเถียงกันไม่จบ ทำให้คิดว่าตัวเองก็เจ็บ เจ็บหน้าอกมากและหายใจติดขัด อีกทั้งผู้หญิงที่มาด้วยเพิ่งไปทำจมูกมาและมีเลือดไหล จึงคิดว่ารถยังอยู่บนทางด่วน และใบขับขี่ก็ให้ไปตั้งแต่หลังเกิดเหตุแล้ว แต่ยังไม่ทำอะไรสักที จึงคิดว่าขอไปโรงพยาบาลก่อนใกล้ ๆ และจะกลับมา ยืนยันไม่ได้หนี

โดย นายสุทัศน์ ระบุว่า ดูแลร่างกายตัวเองและผู้หญิงที่บาดเจ็บ ผมผิดเหรอ ผมก็ไม่สบายใจที่เกิดอุบัติเหตุ โดยให้คนไปเยี่ยมคู่กรณี พร้อมเงินเยียวยา 1 แสนบาท เพราะตัวเองยังมีอาการเจ็บหน้าอกและมาหาหมออยู่ โดยยังฝากความห่วงใยไปด้วยว่า ให้สบายใจและพร้อมรับผิดชอบ เรื่องรถที่ชนหากใช้ไม่ได้ก็จะซื้อรถใหม่ให้

ทั้งนี้ นายสุทัศน์ ยังระบุอีกว่า ความจริงไม่ได้ชนแรง แค่ไปเฉี่ยวท้ายรถปาเจโร่นิดเดียว ไม่ได้ชนเต็ม ๆ กลางลำ แต่รถที่ตามหลังมา ขับมาด้วยความเร็วและไปชนท้ายซ้ำเต็ม ๆ ทำให้หนัก

นายสุทัศน์ กล่าวว่า ยืนยันทั้งหมดไม่ได้เมาและไม่ได้ปฏิเสธการขับ ส่วนภาพการเคี้ยวหมากฝรั่งนั้น เพราะลดอาการอยากบุหรี่ โดยพยายามเลิกอยู่ ตอนนั้นเครียดและอยากสูบบุหรี่มาก

นายสุทัศน์ กล่าวในตอนท้ายว่า ความจริงเป็นอุบัติเหตุธรรมดา ถ้าผมขับแท็กซี่ ขับรถธรรมดาก็คงไม่มีอะไร เป็นรถหรูผิดด้วยหรือครับ อุบัติเหตุไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แล้วผมถามว่าค่าตรวจแอลกอฮอล์จากลมหายใจยังไม่ชัวร์ ตรวจจากเลือดชัวร์กว่า