พ่อแม่เด็กชายวัย 4 ขวบ ชั้นอนุบาลร้องขอความช่วยเหลือ หลังลูกชายเกิดอุบัติเหตุเลือดคั่งในสมองในโรงเรียนย่านภาษีเจริญ

นายพนิต และนางสาวนภาพร พ่อและแม่ของเด็กชาย อายุ 4 ขวบ 6 เดือน เรียนอยู่ชั้นอนุบาล 2 โรงเรียนแห่งหนึ่งย่านภาษีเจริญ เดินทางเข้าร้องเรียนขอความช่วยเหลือ กับนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรม หลังลูกชาย เกิดอุบัติเหตุภายในโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง ย่านภาษีเจริญ จนกระทั่งเลือดคั่งในสมองแล้วจนเสียชีวิตในเวลาต่อมา

น.ส นภาพร อายุ 26 ปี แม่ของน้องที่เสียชีวิต เล่าว่า เหตุเกิดเมื่อวันที่ 22 พ.ย.ที่ผ่านมา ลูกชายเรียนอยู่ชั้นอนุบาลสองของโรงเรียนดังกล่าว ช่วงเช้าพ่อของน้องได้ไปส่งเข้าเรียนตามปกติ จนกระทั่งเวลา 15.00 น.ครูได้โทรศัพท์แจ้งกับตนเองว่าลูกชายได้เกิดอุบัติเหตุเดินสะดุดกระเป๋านักเรียนล้มหัวฟาด จนกระทั่งเวลา 16.00 น. คุณปู่ได้เดินทางไปรับน้องกลับจากโรงเรียน ซึ่งทางครูได้บอกว่าหากน้องมีอาการปวดหัวให้พาไปพบแพทย์ จนกระทั่งเวลา 17.00 น.ครูได้โทรมาเล่าเหตุการณ์ให้ตนเองฟังว่าน้องล้มหัวฟาดพื้นไปถูกกับโต๊ะมีอาการร้องไห้มากกว่าปกติ บอกว่าเจ็บและอ้อนครูอยู่ตลอดเวลา ซึ่งคุณครูได้บอกกับตนเองว่าได้ปฐมพยาบาลด้วยการประคบน้ำแข็งไปให้แล้วเบื้องต้น

ตนเองจึงได้รีบเดินทางกลับบ้านเพื่อจะดูอาการของลูก พบว่าลูกมีอาการอยากจะนอนและดูซึมลงไปไม่ร่าเริงเหมือนเช่นทุกวัน จึงพยายามสอบถามลูกว่าจะกินข้าวหรือไม่ แต่ลูกก็ปฏิเสธอยากจะนอนเพียงอย่างเดียว และการแสดงอาการเจ็บที่บริเวณใบหน้า ตนเองจึงปล่อยให้ลูกนอน เพราะคิดว่าลูกคงแค่เจ็บแผลและปวดหัวไม่เป็นอะไรมาก และเมื่อถึงเวลา 20.00 น. ตนเองจึงได้เข้าไปปลุกลูกที่นอนอยู่ด้านล่าง เพื่อให้ไปอาบน้ำและเตรียมเข้าห้องนอนเพื่อไปโรงเรียนในวันรุ่งขึ้น แต่ลูกก็ไม่ยอมที่จะอาบน้ำตนเองจึงนำลูกไปอาบน้ำให้ และเอานมให้ลูกกินเพราะตั้งแต่กลับมาจากโรงเรียนลูกยังไม่ได้กินข้าว ซึ่งระหว่างที่ดื่มนมอยู่นั้นลูกเกิดอาการอาเจียนออกมา จากนั้นพ่อได้พาน้องขึ้นไปห้องนอนด้านบน

ต่อมาในเวลา 22.00 น. ตนเองจึงได้เดินไปตามสามีที่เฝ้าลูกอยู่ให้ลงมากินข้าวและตนเองได้นอนเฝ้าลูกแทนระหว่างนั้นตนเองจึงได้ใช้ไฟจากโทรศัพท์มือถือฉายไปที่หน้าลูกเพื่อดูอาการ พบว่าลูกอยู่ในอาการหน้าซีดมีน้ำลายฟูมปากจึงได้รีบนำตัวส่งโรงพยาบาล และพยายามเรียกลูกตลอดทางแต่ลูกก็ไม่ตอบสนองและไม่แน่ใจว่าน้องยังหายใจอยู่หรือไม่เพราะตกใจมาก เมื่อมาถึงโรงพยาบาล เมื่อแพทย์เห็นอาการน้องบอกกับตนเองว่าน้องมีอาการคล้ายกลับไม่ได้อยู่กับเราแล้ว จึงทำการปั๊มหัวใจประมาณกว่า 1 ชั่วโมง ก่อนที่แพทย์จะมาบอกกับตนเองว่าให้ทำใจเพราะน้องไม่ตอบสนองและน้องก็จากไป ตนเองเสียใจถึงกับเป็นลมล้มพับจนพยาบาลต้องรีบเข้าปฐมพยาบาล เพราะตนเองผูกพันกับน้องเป็นอย่างมากอยู่ด้วยกันตลอดและไม่เคยห่างกันเลย เพิ่งจะห่างจากน้องตอนที่น้องเข้าโรงเรียน ซึ่งทุกวันนี้ตนเองก็ยังคิดถึงน้องอยู่ตลอดเวลาไม่สามารถที่จะลืมน้องได้ อยากกอดและอยากให้น้องยังอยู่กับตนเองเหมือนเดิม

โดยหลังเกิดเหตุตนเองก็พยามสอบถามทางโรงเรียน แต่ได้รับคำตอบว่าเป็นเหตุสุดวิสัยไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ ซึ่งทำให้ตนเองรู้สึกว่าโรงเรียนเป็นบ้านหลังที่สอง และน่าจะเป็นที่ปลอดภัยกับลูกมากที่สุด แต่มาเกิดเหตุแบบนี้จึงอยากให้ผู้ที่มีความรับผิดชอบดูแลเด็กให้มากกว่านี้

คุณแม่ เล่าต่อว่า ตลอดระยะเวลาที่ทำพิธีศพน้อง ทางโรงเรียนเล่าเหตุการณ์ไม่ตรงกันเลยสักครั้งเดียว ตนเองยืนยันว่าจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุดเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับลูกชาย

ขณะที่นายพนิต อายุ 33 ปี พ่อของน้องที่เสียชีวิต เปิดเผยว่า ยังติดใจถึงเหตุการณ์อุบัติเหตุของลูกว่าเกิดขึ้นอย่างไร ทำไมลูกของตนเองจึงต้องเจ็บถึงขั้นเสียชีวิต เพราะไม่อยากฟังคำอธิบายจากฝ่ายโรงเรียนเพียงอย่างเดียวจึงอยากดูกล้องวงจรปิดให้ชัดเจน และหากผลจะออกมาเป็นอย่างไรตนก็ยอมรับ แต่ทางโรงเรียนอ้างว่ากล้องที่อยู่ภายในห้องไม่สามารถดูได้เพราะเสีย และตนเองยังติดใจว่าทำไมถึงไม่พาลูกไปหาหมอ หลังจากเกิดอุบัติเหตุทันที ทางโรงเรียนอ้างว่าไม่มีสิทธิ์ที่จะพาเด็กไปโดยภาระการตนเองจึงอยากถามว่าทำไม่แจ้งผู้ปกครองให้มารับเด็กไปโรงพยาบาลเองก็ได้ เพราะถ้าตนเองรู้จะรีบมารับน้องไปส่งโรงพยาบาลโดยทันที

ด้านนายรณณรงค์ เปิดเผยว่า จากกรณีที่เกิดขึ้น ต้องตรวจสอบหาสาเหตุก่อนว่าเกิดจากสาเหตุใด เด็กล้มฟาดที่โต๊ะ หรือ ฟาดที่พื้น ซึ่งต้องให้แพทย์พิสูจน์ ส่วนกรณีที่ไม่นำตัวเด็กส่งโรงพยาบาล อาจเข้าข่าย เป็นการประมาทเลินเล่อ จนทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย