หนุ่มถูกไม้หน้าสามรุมตี มีดฟันหน้า เดินหนีตายเกือบ 3 กิโลเมตร กลับมาขอความช่วยเหลือจากญาติ แม่เผยถูกรุมทำร้าย 2 รอบ ในช่วง 1 เดือน

วันที่ 14 พ.ย. 2565 เมื่อคืนที่ผ่านมา (13 พ.ย.) เวลา 21.30 น. มีคนถูกทำร้ายร่างกายได้บาดเจ็บสาหัสภายในบ้าน ซอยทุ่งกลม-ตาลหมัน 18 หมู่ 14 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ตำรวจไปตรวจสอบพร้อมด้วยหน่วยกู้ภัยมูลนิธิสว่างบริบูรณ์ฯ เมืองพัทยา

เมื่อถึงบ้านหลังดังกล่าว ภายในห้องนอนพบนายคัมภีร์ อายุ 27 ปี สภาพนอนหมดสติขยับเขยื้อนร่างกายไม่ได้ ตามตัวและเสื้อผ้ามีคราบดินโคลนเปรอะเปื้อนไปทั้งตัว มีบาดแผลถูกฟันเข้าหัวคิ้วข้างซ้ายเป็นแผลเหวอะ ยาวประมาณ 5 ซม. เลือดไหลนองใบหน้า อีกทั้งยังมีร่องรอยถูกตีด้วยไม้หน้าสามเข้าที่หัวไหล่ข้างซ้าย และกลางแผ่นหลังหลายแห่ง ร่างกายสะบักสะบอม เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยต้องรีบปฐมพยาบาล และนำตัวส่ง รพ.บางละมุง ทันที

นายคัมภีร์ เปิดเผยว่า ถูกนายเพชร และนายซีน ซึ่งเป็นเพื่อนกันรุมทำร้าย โดยกล่าวหาว่า ตนไปทำมิดีมิร้ายเพื่อนผู้หญิงรุ่นน้อง โดยตนยืนยันว่าไม่ได้ทำอะไร แต่ผู้หญิงกลับไปฟ้องนายเพชรและนายซีน จึงถูกเพื่อนทั้ง 2 คนใช้ไม้หน้าสามกระหน่ำตีจนล้มไปนอนกองกับพื้น ช่วงที่ล้มไปแล้วยังถูกอาวุธมีดสั้นฟันเข้าที่หน้าผาก 1 ครั้ง แถมใช้ปลายมีดกรีดซ้ำ ก่อนจะถูกเพื่อนไล่ให้ไปเก็บเสื้อผ้า ระหว่างที่เพื่อนปล่อยตัวออกมา จึงฉวยโอกาสวิ่งหนีตายเข้าป่าเอาชีวิตรอด โดยเหตุเกิดบริเวณห้องแถวใกล้กับหมู่บ้านช้าง ซอยหนองปรือ และพยายามวิ่งหนีมาขอความช่วยเหลือจากแม่และญาติที่บ้าน ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 3 กม. พอมาถึงบ้านก็หมดแรง

นางสาวเภา อายุ 57 ปี ผู้เป็นแม่ เล่าว่า ลูกชายพยายามหนีมาขอความช่วยเหลือในสภาพดังกล่าว ตอนแรกที่เห็นก็ตกใจมากว่าลูกไปโดนอะไรมา ก่อนจะบอกว่าถูกเพื่อนใช้ไม้หน้าสามตี และใช้มีดฟันหน้า จึงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ โดยก่อนหน้านี้เมื่อ 1 เดือนก่อน ลูกชายเพิ่งถูกกลุ่มเพื่อน 3-4 คน รุมทำร้ายมาแล้ว 1 ครั้ง โดยถูกหลอกให้เข้าไปในห้องแถวแล้วช่วยกันรุมกระทืบจนหน้าตาและร่างกายบอบช้ำไปทั้งตัว ครั้งนั้นลูกชายได้โทรมาขอความช่วยเหลือนำตัวส่งโรงพยาบาล ซึ่งไม่ทราบว่าคนที่ทำร้ายใช่เพื่อนกลุ่มเดียวกันที่ทำร้ายในครั้งนี้หรือไม่ ไปแจ้งความกับ สภ.หนองปรือ ก็ไม่มีความคืบหน้าของคดีจนมาถูกก่อเหตุครั้งที่ 2 ในเวลาไม่ถึงเดือน

ด้านตำรวจ เบื้องต้นได้ทำหนังสือให้โรงพยาบาลบางละมุงตรวจร่างกายอย่างละเอียด ส่วนการสอบสวนปากคำต้องรอให้คนเจ็บมีอาการดีขึ้นก่อน เพื่อรวบรวมหลักฐานเอาผิดกับกลุ่มเพื่อนโหดรายนี้ โดยผู้บาดเจ็บยืนยันว่ารู้จักกับผู้ก่อเหตุเป็นอย่างดี จึงเชื่อว่าจะติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุได้ไม่ยาก