สาวขอนแก่นร้องทุกข์ ถูกฤๅษีหญิงตนแรกของไทยหลอกเอาเงิน เอาทองไปจนหมดตัว ติดตามทวงคืนมา 3 ปีไม่มีวี่แววได้คืน ถูกบ่ายเบี่ยงอ้างนานาสารพัดข้ออ้าง เผยครอบครัวเดือดร้อน เร่งรวบรวมหลักฐานแจ้งความดำเนินคดีถึงที่สุด

 

เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 7 ก.ค.2565 ที่ ต.ดอนหัน อ.เมือง จ.ขอนแก่น นางสาวกนกพร อายุ 29 ปี นำเอกสารที่เตรียมใช้เป็นหลักฐานเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ มาแสดงให้สื่อสื่อมวลชนดู ซึ่งเป็นเอกสารที่เกี่ยวกับสลิปการโอนเงิน และเอกสารแชตข้อความผ่านไลน์ ระหว่างนางสาวกนกพรกับฤาษีหญิง ชื่อแม่ผ่อง ที่หลอกยืมเงินและทองของเธอไป รวมหลายแสนบาทแต่ไม่ยอมคืน

โดยนางสาวกนกพร เผยถึงที่มาที่ทำให้ที่เกี่ยวข้องกับฤาษีหญิงรายนี้ว่า เนื่องจากช่วงเรียนมหาวิทยาลัย ได้เรียนที่จังหวัดมหาสารคาม และมีญาติพาไปทำบุญที่วัดป่าแห่งหนึ่งใน จ.กาฬสินธุ์ จึงได้รู้จักกับแม่ผ่อง แต่ขณะนั้นไม่ได้ติดต่อกัน กระทั่งเรียนจบ และปลายปี 2562 เป็นช่วงที่พ่อแม่ขายบ้านหลังเดิม และกำลังสร้างบ้าน จึงโอนเงินที่ขายบ้านได้มาเข้าบัญชีตนเอง เอาไว้ใช้จ่ายค่าช่างที่กำลังสร้างบ้านหลังใหม่

ภายหลังเรียนจบ ตนเองอยากหาที่สงบ ทำสมาธิ เพื่อจะได้มีสติออกหางานทำ จึงเดินทางไปที่ สถานปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่งในพื้นที่ บ้านโนนทอง ต.ดอนหว่าน อ.เมือง จ.มหาสารคาม จึงได้พบกับแม่ผ่อง ซึ่งเป็นเจ้าของสำนักปฏิบัติธรรมและปฏิบัติตนเป็นฤๅษี มีลูกศิษย์จำนวนมาก ซึ่งต่างก็เรียกแม่ผ่องว่า แม่ย่า ย่าฤๅษี ซึ่งมีชื่อเต็มว่า ฤๅษี ดร.ภคินี มหามุนีนพเก้า ที่มักจะบอกกับลูกศิษย์ว่า ตนเป็นผู้หญิงที่สละชีวิตเป็นนักบวช ซึ่งก่อนเกิดช่วงโควิดระบาดนั้น จะมีลูกศิษย์ทั้งชาวไทยและต่างชาติมาหาฤๅษีจำนวนมาก เพื่อสักยันต์มงคลต่าง ๆ ทั้งยันต์ห้าแถว สาลิกาลิ้นทอง ลงนะหน้าทอง

นางสาวกนกพร กล่าวอีกว่า ขณะอยู่ที่สำนักปฏิบัติธรรม ฤๅษีมักจะบอกว่า ตนมีหน้าตาคล้ายกับฤๅษี คงเป็นบุญแต่ชาติปางก่อน จึงทำให้ได้เจอได้อยู่ด้วยกัน ฤๅษี จึงรับเป็นลูกรัก และช่วยงานในสำนักปฏิบัติธรรมเรื่อยมา ช่วงปลายปี ฤๅษีชวนให้ขับรถพาไปทำธุระข้างนอก จึงขับรถให้ และไปจอดริมถนนหน้าศาลเจ้าพ่อหลักเมืองมหาสารคาม จากนั้นฤๅษีก็คุยโทรศัพท์กับใครไม่รู้ โดยเรียกว่าเจ้านาย ๆ ได้ยินเพียงว่า คุยกันเรื่องซื้อขายหอพักและคุยเรื่องบัญชีกับสรรพากร ก่อนที่ฤๅษีจะถามว่า มีเงินในบัญชีเท่าไหร่ จะยืมหมุนในบัญชีให้สรรพากรดู เพื่อจะเดินเรื่องซื้อขายหอพัก ไม่เกิน 3 วันจะคืนให้ จึงให้ฤๅษียืมเงินครั้งแรกจำนวน 12,000 บาท ผ่านไป 3 วัน เงินก็ยังไม่ได้คืน แล้วก็ยืมต่ออีก โดยบอกว่า เจ้านายอยู่ต่างประเทศกำลังเดินทางกลับมาคุยธุรกิจที่ประเทศไทย หากเจ้านายมาถึงก็จะคืนเงินให้ จึงให้ยืมเงินไปอีกหลายครั้ง และบางครั้งบอกว่า เจ้านายมาแล้ว แต่ถูกยึดรถยนต์ ต้องเอาเงินไปประกันเอาตัวเจ้านายออกมาต้องใช้เงินเป็นแสน ก็ให้ยืมไปอีก 100,000บาท จากนั้นก็มาบอกอีกว่า ต้องหาเงินอีก50,000 ไถ่รถออกมาให้เจ้านาย ก็ให้ยืมไปอีก 50,000บาท แต่ยังไม่ได้รถเพราะเงินไม่พอจ่าย ฤๅษีก็ขอเอาทองที่ตนสวมใส่อยู่ไปขายได้เงินมาอีก 54,700 บาท ฤๅษีก็เอาไปทั้งหมด

"ในปี 2563 ฤๅษียืมเงินไปประมาณ 20 ครั้ง รวมเป็นเงิน 480,000บาท ขายทองอีก 54,700 บาท ฤๅษีคืนเงินมา 40,000บาท แล้วยังมาขอยืมคืน แต่ตนไม่ให้ เพราะต้องเอาเงินมาจ่ายค่าช่างสร้างบ้านให้พ่อแม่ อีกทั้งทองก็หมดแล้ว เงินของพ่อแม่ที่เอาไว้สร้างบ้านและเก็บในบัญชีก็หมด ตัวเองก็ไม่สบาย ต้องนอนในรพ. และปลายปี 2563 จึงตัดสินใจออกจากสำนักปฏิบัติธรรมของฤๅษี โดยก่อนออกมาได้คุยเรื่องเงินที่ฤๅษีในเรื่องเงินที่ยืมไป ซึ่งเมื่อหักลบกันแล้วเหลือเงินที่ฤๅษียังค้างอยู่จำนวน 370,000บาท บวกกับที่เอาทองไปขายอีก 54,700 บาท ซึ่งฤๅษีก็รับปากว่า จะใช้คืนให้ทั้งหมด จากนั้นตัวเองก็กลับมาบอกความจริงกับพ่อแม่ ซึ่งพ่อแม่ก็บอกว่า จะปรึกษาญาติที่เป็นทนายความ และรวบรวมเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อนำเป็นหลักฐานเข้าแจ้งความกับตำรวจ สภ.เมืองมหาสารคาม ให้ทำการเรียกตัวฤๅษีมาพูดคุย และให้นำเงินที่คงค้างมาคืนทั้งหมด"

นางสาวกนกพร กล่าวต่ออีกว่า ที่ผ่านมา มีการทวงถามทุกวัน แต่ฤๅษีไม่อ่านไลน์ ไม่ตอบ เมื่อตอบก็จะพูดจาไม่ดี ระยะหลังโยนให้ไปคุยกับน้องชาย ที่เป็นอดีต สท. ซึ่งในครั้งแรกน้องชายไม่ขอรับรู้ ให้ฝ่ายตัวเองกับฤๅษีคุยกันเอง แต่ต่อมาน้องชายฤๅษีพูดจาไม่ดี และบอกว่า ให้ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ซึ่งเมื่อถูกฝ่ายฤๅษีกดดันและไม่สามารถพูดคุยกันดีดีได้ จึงต้องพึ่งกฎหมาย โดยให้ตำรวจดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย และฝ่ายฤๅษีต้องนำเงินมาคืนให้ครบทุกบาทด้วย

สำหรับผู้ถูกกล่าวหาคือ ฤๅษีภคินีมหามุนีนพเก้า เคยออกรายการโทรทัศน์ชื่อดังมาแล้วเมื่อปี 2556 ขณะอายุ 36 ปี โดยระหว่างออกรายการ ได้เท้าความถึงชีวิตตอนเป็นฆราวาสให้ฟังว่า ตนเองมาจากครอบครัวที่ยากจน ตอนเด็กไม่มีอะไรเลย อาหารการกิน หรือเรื่องเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ก็ค่อนข้างหายาก โยมแม่ขยันทำงานหาเงินมาส่งเรียน ส่วนตนก็ตั้งใจเรียน จนสามารถเรียนจบปริญญาตรี

ซึ่งตอนเป็นนักศึกษา เคยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ประเทศญี่ปุ่น หลังจบปริญญาตรี ก็ได้ทำงานอยู่ที่สถาบันสอนภาษา ทำหน้าที่เป็นเลขาฯ ประสานงานชาวต่างชาติ และได้ไปทำงานที่สหรัฐฯ ถึง 10 ปี ซึ่งระหว่างอยู่ที่สหรัฐฯ ก็ได้ไปวัดไทย และปฏิบัติธรรมมาโดยตลอด กระทั่งกลับมาไทย ก็มาทำธุรกิจหอพัก ก่อนจะเริ่มเบื่อหน่ายกับความวุ่นวายทางโลก จนได้เริ่มศึกษาธรรมะ และได้พบกับ หลวงปู่ฤๅษีลิงใหญ่ จ.กาฬสินธุ์ จึงศรัทธา และเข้ารับการบวชเป็น "ฤๅษี" ในที่สุด ซึ่งถือว่าเป็นฤๅษีหญิงตนแรกในประเทศไทย

โดยฤๅษีหญิง ยังกล่าวในรายการ ถึงสาเหตุที่ไม่บวชชี เพราะว่า แม่ชีไม่สามารถบีบนวด รักษาญาติโยม บำบัดโรคได้อย่างฤๅษี ส่วนการถือศีลนั้น ก็ถือเหมือนกันคือ ถือศีล 5 ศีล 8 และศีล 227 ข้อ คุมด้วย 3 ศีล คือ กาย วาจา ใจ บริสุทธิ์ และฤๅษีนั้น จะเป็นผู้ให้ ไม่ใช่ผู้ขอ ซึ่งหากพบฤๅษีตนไหนขอเงินญาติโยม ถือว่าเป็นฤๅษีปลอม