"อัจฉริยะ" ร้อง ปปป. เอาผิดพนักงานสอบสวนคดีแตงโม ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งพนักงานอัยการฯ ให้ผู้ต้องสงสัยบนเรือนำมือถือส่งกองพิสูจน์หลักฐาน

 

วันที่ 6 ก.ค.เวลา 13.00 น. ที่ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ถนนพหลโยธิน จตุจักร กทม. นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ เข้าพบ พ.ต.ต.ชัยรัตน์ กิจงาม สว.(สอบสวน) กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) แจ้งความกล่าวโทษคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนตามคำสั่งของผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 คดีการเสียชีวิตของนางสาวภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ หรือ แตงโม ดาราสาวที่เสียชีวิตจากการตกเรือสปีดโบ๊ทในแม่น้ำเจ้าพระยา จังหวัดนนทบุรี ที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งพนักงานอัยการนนทบุรี และคณะพนักงานอธิบดีอัยการภาค 1 ในการสั่งตามมาตรา 169 ให้ผู้ต้องสงสัยบนเรือ นำโทรศัพท์มือถือส่งให้กองพิสูจน์หลักฐานสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ของกระทรวงยุติธรรม แต่คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนไม่ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157

นายอัจฉริยะ กล่าวว่า คดีนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดดังกล่าวไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานอัยการจังหวัดนนทบุรี และคณะพนักงานอัยการภาค 1 ที่ใช้คำสั่งตามมาตรา 169 ให้ผู้ต้องหาบนเรือนนำโทรศัพท์มือถือส่งให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ตรวจสอบ แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมีหมายเรียกให้มาสอบเพิ่ม และขอตรวจสอบข้อมูลในโทรศัพท์ของผู้ต้องหา ช่วงวันที่ 22-28 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงก่อนและหลังเกิดเหตุ ประเด็นนี้ผู้ต้องหาทั้ง 2 คน กลับไม่อนุญาตให้นำโทรศัพท์มือถือไปตรวจสอบ

โดยผู้ต้องสงสัยอ้างว่า เคยส่งมอบโทรศัพท์ให้พนักงานสอบสวนนำไปตรวจสอบที่ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือบก. ปอท.ไปแล้ว ทั้ง 2 คนยืนยันว่า ให้ไม่ได้ เป็นเรื่องขัดต่อรัฐธรรมนูญ สิทธิเสรีภาพของผู้ต้องหา จึงขอใช้สิทธินี้ไม่ส่งมอบให้ เรื่องนี้นายอัจฉริยะมองว่า เป็นเรื่องที่ตำรวจทำไม่ถูกต้อง ที่ยินยอมให้ผู้ต้องหาไม่ส่งมอบโทรศัพท์มือถือให้ และไม่ได้มีการดำเนินคดีใด ๆ กับผู้ต้องหาในฐานขัดขืนคำสั่งเจ้าพนักงาน ซึ่งมีโทษ จำคุกไม่เกิน 3 เดือนปรับไม่เกิน 500 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ และเจ้าหน้าที่ตำรวจในคดีนี้อาจเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 157 ละเว้นหรือปฏิบัติหน้าที่ จึงต้องเข้ามาร้องขอให้ บก.ปปป.ดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องและผู้ต้องหาทั้งสองคน อีกครั้งยังไม่ควรปล่อยมือถือของทุกคนไปตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

ทั้งนี้ มองว่าเหตุที่อัยการจังหวัดนนทบุรีสั่งให้ตรวจสอบโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหาอีกครั้งโดยให้ส่งไปตรวจที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์กระทรวงยุติธรรมอัยการอาจมองเห็นเรื่องความน่าเชื่อถือในพยานหลักฐานที่ตำรวจตรวจไปก่อนหน้านี้ หรืออาจมีแง่มุมทางคดีใด ๆ ที่เชื่อได้ว่า คดีดังกล่าวอาจไม่ใช่การกระทำจากความประมาท แต่อาจเกิดจากการฆาตกรรม ส่วนข้อมูลในโทรศัพท์มือถือในช่วงเวลาดังกล่าว จึงทำให้ข้อมูลดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานที่สำคัญต่อการพิจารณาสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง ส่วนอุปกรณ์และขั้นตอนกระบวนการในการตรวจสอบ พบว่าทั้งของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือ บก.ปอท. เป็นอุปกรณ์และกระบวนการตรวจสอบแบบเดียวกันแต่ความน่าเชื่อถือและความกระจ่างต่อสังคมในคดีนี้อาจจะต่างกัน

เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามว่า คดีนี้นายอัจฉริยะตั้งทรงว่า เป็นคดีฆาตกรรมไม่ใช่ความประมาทหมายความว่าผู้ต้องหา 2 คนที่ไม่ยอมให้โทรศัพท์มือถือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจไปตรวจสอบจะเป็นผู้ก่อเหตุตัวจริงหรือไม่ นายอัจฉริยะปฏิเสธไม่ตอบคำถามดังกล่าว เพราะเกรงว่าจะถูกฟ้องร้องกลับมาในภายหลัง แต่ขอให้สังคมไปดูพฤติการณ์ของผู้ต้องหาทุกคน รวมถึงรอคำสั่งฟ้องของอัยการและการพิพากษาในชั้นศาลทั้งคดีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทำและคดีที่ตนเองได้ยื่นฟ้องไป

ส่วนกรณีที่คุณแม่จะไปถอนฟ้อง มองว่าคุณแม่ของแตงโมน่าจะไม่กล้าทำเรื่องดังกล่าว ยังจะให้ไปถอนฟ้องในคดีฆาตกรรม หากถอนฟ้องแล้วเชื่อว่าแม่ของแตงโมจะไม่ได้อะไรเลย ทั้งจากคดีฆาตกรรม คดีประมาทหรือการฟ้องแพ่ง

อย่างไรก็ตาม หากไม่มีการถอนคำฟ้อง คดีก็จะต้องเป็นไปตามกำหนดเดิมที่ศาลได้นัดไต่สวนคำร้องในวันที่ 20 กรกฎาคม นี้