"แม่สิตางศุ์" เข้าแจ้งความที่ สน. นิมิตรใหม่ หลังหวิดถูกแก๊งคอลเซนเตอร์หลอกกู้เงิน โชคดียังไหวตัวทัน แต่ไม่อยากให้คนอื่นต้องมาโดนแบบนี้ จึงแจ้งความเพื่อให้ตำรวจตรวจสอบบริษัทดังกล่าวว่ามีจริงหรือไม่

 

วันที่ 14 มิ.ย.65 สิตางศุ์ บัวทอง หรือแม่สิตางศุ์ เน็ตไอดอลชื่อดัง พร้อมทนายความนำพยานหลักฐานเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน. นิมิตรใหม่ เพื่อให้ดำเนินคดีกับแก๊งมิจฉาชีพหลอกปล่อยกู้เงินออนไลน์ แต่ไม่ส่งเงินกู้ให้ โดยการให้ผู้กู้โอนเงินไปให้ก่อน ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวเข้าข่ายฉ้อโกงประชาชน และข่มขู่ให้กลัว

โดยแม่สิตางศุ์เล่าว่า หลังจากที่เห็นข่าวสื่อมวลชนตกเป็นเหยื่อแก๊งคอเซนเตอร์ จึงเริ่มหาข้อมูลการหลอกลวงตามอินเทอร์เน็ต จนกระทั่งวันหนึ่ง ก็มีโพสต์โฆษณาปล่อยเงินกู้ด่วน ดอกเบี้ยต่ำของบริษัทแห่งหนึ่ง ปรากฏขึ้นมาในหน้าฟีดของเฟซบุ๊ก ตนเองจึงลองติดตามไปตามลิงก์ที่ปรากฏ จนไปเชื่อมโยงเข้ากับบัญชีไลน์ของบริษัทดังกล่าว โดยทางบริษัทแจ้งว่าเป็นบริษัทที่มีตัวตนอยู่จริง ถูกกฎหมาย สำนักงานตั้งอยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการ สามารถตรวจสอบการจดทะเบียนได้จากแบงก์ชาติ โดยจะให้แม่สิตางศุ์กู้เงินดอกเบี้ย 3% นาน 60 เดือน และให้แม่สิตางศุ์ส่งข้อมูลส่วนตัว บัญชีธนาคาร บัตรประชาชน พร้อมรูปที่ถ่ายคู่บัตรประชาชน เพื่อยืนยันตัวบุคคล ไม่นานก็อนุมัติวงเงิน 5 แสนบาท

แต่เมื่อถึงวันที่เงินจะเข้าบัญชี บริษัทก็แจ้งว่าเลขบัญชีธนาคารของแม่สิตางศุ์นั้นเลขผิด 2 ตัวท้าย ซึ่งแม่สิตางศุ์ก็ยืนยันว่า เลขบัญชีธนาคารถูกต้องแน่นอน เนื่องจากใช้ในการทำธุรกิจซื้อขายซิมการ์ดโทรศัพท์ ต้องเป็นอีกฝ่ายที่เป็นคนไปแก้เลขบัญชีให้ผิดแน่นอน จากนั้นบริษัทก็อ้างว่า ระบบถูกล็อกจากการใส่เลขบัญชีผิด เพราะมองว่าเป็นการเข้าข่ายทุจริต ฟอกเงิน ผิดกฎหมายอาญา ดังนั้นหากไม่อยากถูกดำเนินคดี จะต้องโอนเงินเข้าบัญชีของทางบริษัทเพื่อยืนยันตัวตนเป็นเงิน 59,000 บาท แล้วเมื่อยืนยันตัวตนเสร็จ ภายใน 10 นาทีจะคืนเงินให้พร้อมกับเงินที่กู้ได้ แต่หากไม่โอน ก็จะดำเนินคดีแน่นอน

อย่างไรก็ตามบัญชีที่ให้โอนไปก็เป็นชื่อบัญชีส่วนบุคคล ไม่ใช่ในนามบริษัทแต่อย่างใด แม่สิตางศุ์จึงไม่ยอมโอนเงินให้ เพราะมองว่าไม่ปกติ แต่ตัดสินใจมาแจ้งความเพื่อปกป้องตัวเอง และให้ตำรวจดำเนินการจับกุมขบวนการนี้ไม่ให้ไปหลอกใครอีก

ด้านนายเกรียงศักดิ์ พินทุสรศรี ทนายความ ระบุว่า ต้องมาแจ้งความ เพราะการที่แม่สิตางศุ์ส่งเอกสารหลักฐาน ข้อมูลส่วนบุคคล และบัตรประชาชนต่าง ๆ ไปให้ อาจถูกนำไปใช้ในสัญญากู้เงินแล้ว หรือตกเป็นลูกหนี้เรียบร้อยแล้วแต่ไม่ได้เงิน ดังนั้นจึงต้องมาแจ้งความไว้ โดยแจ้งข้อหาฉ้อโกงประชาชน และข่มขู่ทำให้กลัว รวมถึงขอให้ตำรวจตรวจสอบว่าบริษัทแห่งนี้อยู่สมุทรปราการจริงหรือไม่ ใครเป็นประธาน และกรรมการบริษัท รวมถึงทราบว่ามีชื่อทนายความคนหนึ่งเป็นที่ปรึกษาบริษัทด้วย ดังนั้นหากเป็นทนายจริงก็จะผิดมารยาททนายความด้วย