"ผอ.PCT" เตือน คนร้ายแฮ็กไลน์ได้จากบัญชีที่เชื่อมต่อเฟซบุ๊ก แนะยกเลิกและล็อกอินเข้าระบบด้วยเบอร์โทรหรืออีเมล

วันนี้ (29 พ.ค.65) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) หรือ PCT เปิดเผยเรื่องนี้ว่า ได้รับรายงานจากฝ่ายรับแจ้งความออนไลน์ว่า มีผู้เสียหาย ถูกคนร้ายแฮ็ก Facebook แล้วใช้บัญชี Line หลอกยืมเงินเพื่อน สร้างความเสียหายจำนวนมาก ซึ่งยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวว่า จากการที่แอปพลิเคชัน Line เป็นที่นิยมใช้อย่างแพร่หลายในประเทศไทย ทุกคนที่มีโทรศัพท์มือถือจะมีบัญชี Line และด้วยสาเหตุที่หลายคนใช้บัญชี Facebook เชื่อมต่อกับบัญชี Line เพื่อเข้าสู่ระบบได้อย่างสะดวก ทำให้คนร้ายนำช่องทางนี้มาใช้ประโยชน์และสร้างความเสียหายกับเจ้าของบัญชีได้อย่างมหันต์ โดยวิธีการป้องกันควรดำเนินการดังนี้

ประการแรก ให้ทำการยืนยันตัวตนแบบ 2 ชั้น เหมือนบังคับให้ต้องมีกุญแจ 2 ดอก เพื่อเข้าสู่บัญชี Facebook ของเรา ถ้าคนร้ายเข้า Facebook ไม่ได้ ก็จะเข้าไลน์ไม่ได้เช่นกัน

ประการที่สอง ให้กลับไปดูการตั้งค่าที่แอปพลิเคชัน Line ของคุณในตอนนี้ ว่าเชื่อมต่อกับบัญชี Facebook ของคุณไว้หรือไม่ ถ้าเชื่อมต่อไว้ แต่คุณไม่ได้ใช้ฟีเจอร์นี้ในการเข้าระบบเลยแนะนำให้ยกเลิกการเชื่อมต่อ และเปลี่ยนไปใช้การล็อกอินเข้าระบบด้วยอีเมลหรือเบอร์โทรแทน


ประการที่สาม ในแอปพลิเคชัน Line จะมีฟังก์ชันอนุญาตให้เข้าสู่ระบบจากเครื่องอื่นได้ ถ้าไม่มีความจำเป็นต้องเข้าระบบผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ ให้ปิดไว้


ประการที่สี่ เมื่อ Line ในมือถือหลุดออกจากระบบให้สันนิษฐานไว้ว่าเราโดนแฮ็ก Line แล้ว


ประการสุดท้าย เมื่อมีเพื่อนใน Line ส่งข้อความขอยืมเงิน ให้โทรกลับไปเพื่อตรวจสอบและยืนยันว่า เป็นเพื่อนของเราจริง เพียงเท่านี้เราก็จะปลอดภัยจากอาชญากรและมิจฉาชีพทั้งหลาย

จากสถิติคดีออนไลน์ที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. สั่งการให้มีศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ เมื่อวันที่ 1 มี.ค.- 27 พ.ค.65 พบว่า มีผู้เสียหายแจ้งความแล้ว 29,345 ราย แบ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับ


1.ซื้อสินค้าแต่ไม่ได้รับสินค้า 10,500 คดี
2.หลอกให้ทำงานออนไลน์ (เช่น ให้รีวิวสินค้า,กดไลท์ Tiktok, กดไลท์สินค้า) 3,599 คดี
3.หลอกให้กู้เงินแต่ไม่ได้เงิน 2,962 คดี
4.ข่มขู่ให้เกิดความหวาดกลัว (Call Center) 2,274 คดี
5. หลอกให้รักแล้วลงทุน (Hybrid scam) 1,368 คดี
6. หลอกให้ลงทุนในรูปแบบต่างๆ 1,203 คดี
7. ปลอมโปรไฟล์เพื่อหลอกยืมเงิน 901 คดี
8. แชร์ลูกโซ่ 808 คดี
9. ซื้อสินค้าแต่ได้ไม่ตรงตามโฆษณา (ไม่ตรงปก) 431 คดี
10. หลอกให้รักแล้วโอนเงิน 293 คดี

ผอ.PCT ยังกล่าวอีกว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมตรี มีความห่วงใย จึงสั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งปราบปรามอาชญากรรมทางออนไลน์ที่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนอยู่ในขณะนี้ และอยากฝากเตือนว่า อย่าหลงเชื่อโอนเงินให้ใครง่ายๆ ควรตรวจสอบข้อมูลให้ดีก่อน หากสงสัยหรือแจ้งเบาะแส ได้ที่สายด่วน บช.สอท. 1441 หรือ ศูนย์ PCT 081-8663000 ผู้เสียหายสามารถแจ้งความผ่านระบบออนไลน์ได้ที่ www.thaipoliceonline.com และฝากติดตาม Facebook : PCT POLICE เพื่อรู้ทันความคิดของโจรออนไลน์