จากกรณีเช้าของวันที่ 22 พ.ค. ที่ผ่านมา ช่วงเวลาประมาณ 08.50 น. นางไพรินทร์ อายุ 58 ปี ได้เดินทางเข้ามาบันทึกประจำวันที่ สน.บางยี่ขัน ว่าของหายเพื่อจะนำบันทึกประจำวันไปขอดูภาพจากกล้องวงจรปิดของกรุงเทพมหานคร ต่อมานางไพรินทร์ได้เดินทางกลับมาที่ สภ.บางยี่ขัน อีกครั้ง และแจ้งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ได้ทำทองหล่นหายบริเวณสะพานลอย ตรงข้ามโลตัสปิ่นเกล้า น้ำหนักกว่า 40 บาท และอยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดเพื่อหาทองคำที่หล่นหาย เบื้องต้นชุดสืบไล่กล้องวงจรปิดพบภาพจากกล้องวงจรปิด ขณะที่นางไพรินทร์ทำถุงที่ระบุว่ามีทองอยู่ข้างในหล่นแล้ว แต่ขณะนี้กำลังไล่ตรวจสอบอยู่ว่า รถคันไหนหรือใคร ที่มาเก็บกระเป๋าใส่ทอง ดังกล่าวไป




นอกจากนี้ยังมีข้อมูลอีกว่า นางไพรินทร์ รับฝากทอง ซึ่งเป็นร้านทองแห่งหนึ่ง ในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี และร้านทองที่เพชรบุรี นำทองมาส่งให้นางไพรินทร์ ที่ จ.นครปฐม ก่อนที่นางไพรินทร์จะนำทองมาส่งให้กับร้านทองแห่งหนึ่งใน กทม. และทองคำน้ำหนัก 604.1 กรัม (หรือน้ำหนักครึ่งกิโลกว่า ๆ ประมาณ 49 บาท) หล่นหายดังกล่าว ราคาเกือบ 2 ล้านบาท นั้น




ล่าสุดวันนี้ (24 พ.ค. 2567) ทีมข่าวช่อง 8 ยังคงไปติดตามกรณีดังกล่าว ในพื้นที่ของ สน.บางยี่ขัน โดยจุดเกิดเหตุอยู่บริเวณปากซอยศรีรงค์ทอง (ขาเข้ามุ่งหน้าแยกบรมราชชนนี) แขวงอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร โดยบรรยากาศบนถนนในที่เกิดเหตุตั้งแต่ช่วงเช้า มีทางตำรวจชุดสืบสวน สน.บางยี่ขัน ลงพื้นที่ไปตรวจสอบกล้องวงจรปิดเพิ่มเติม และยังมีการลงพื้นที่ด้วยการเดินเท้าเพื่อตามหาเบาะแส กับพนักงานกวาดถนนและพ่อค้าแม่ค้าที่ค้าขายของอยู่ใกล้กับจุดเกิดเหตุ ซึ่งจากกล้องวงจรปิดที่ช่อง 8 นำเสนอไปเมื่อวานนี้ ที่จะเห็นคนเดินผ่านทั้งหมด 4 คน




จากการสืบสวน พบว่า ผู้ชายคนที่ 2 มีการเดินผ่านมาในช่วงเวลาใกล้เคียงกันกับตอนที่นางไพรินทร์ ทำทองหล่นที่สุด แต่จากภาพวงจรปิดที่ตำรวจได้ภาพมาล่าสุด ไม่มีใครเดินไปเก็บทอง หรือมีรถคันไหนจอดแวะเก็บทองตรงจุดดังกล่าว และถ้าหากไม่มีใครเก็บไปจริง ๆ ทางตำรวจสันนิษฐานว่า ในขณะที่นางไพรินทร์ทำของตกลงมา เป็นไปได้ที่ของจะติดกับใต้ท้องรถที่ผ่านมาเหยียบพอดีก็ได้ ซึ่งข้อมูลรถที่ผ่านมาในขณะที่นางไพรินทร์ ทำทองตกมีทั้งหมด 4-5 คันเท่านั้น




โดยภาพจากกล้องวงจรปิดตามข้อมูลที่ตำรวจให้มา วันนี้ทีมข่าวช่อง 8 ไปได้ภาพวงจรปิดตัวดังกล่าวมาแล้ว ซึ่งภาพในจุดนี้ จะเห็นตอนนางไพรินทร์ทำของหล่นลงมาชัดมากขึ้นกว่าเดิม แต่ของมันหล่นง่ายเกินไปหรือไม่ ซึ่งภาพวงจรปิดที่ช่อง 8 ได้มา จะเห็นว่าขณะที่วิน จยย. ขี่ผ่านมาตรงหน้ากล้อง วินคันดังกล่าวมีการขี่มาที่เลน 2 จากนั้นเมื่อถึงท้ายรถแท็กซี่คันสีฟ้า ก็จะเห็นว่านางไพรินทร์ ทำท่าทางคล้ายกับตั้งใจสะบัดให้ของหล่นลงมาจากตัว และจะเห็นถุงผ้าสีขาวหล่นลงมาบนถนน ทำไมนางไพรินทร์ถึงไม่รู้สึกตัว แต่ในภาพจะเห็นว่าเมื่อทำของหล่น นางไพรินทร์มีการหันไปมองตรงจุดที่ทำของหล่น และของที่หล่นหากมีทองอยู่ในถุงผ้า ทำไมถุงผ้าดังกล่าวถึงกระเด็นกระดอนไถลไปกับพื้น คล้ายกับของที่ไม่มีน้ำหนัก ซึ่งหากเปรียบเทียบภาพที่ทีมข่าวจำลองเหตุการณ์เมื่อวานนี้ ของที่มีน้ำหนักใกล้เคียงกัน ทำไมตอนตกลงมาถึงอยู่กับที่ตรงกลางถนน




จากนั้นเมื่อเปรียบเทียบภาพเสร็จแล้ว หากปล่อยภาพวงจรปิดต่อ จะเห็นว่าในกล้องจะไม่เห็นถุงผ้าแล้ว เนื่องจากถุงผ้ากระเด็นมาตรงท้ายรถแท็กซี่คันสีฟ้า และจะเห็นว่าระหว่างนั้นมีรถขับมาเหยียบทั้งหมด 4 คันเท่านั้น คือ 1. รถแท็กซี่สีเขียว 2. รถเก๋งฮอนด้าแจ๊ส 3. รถแท็กซี่สีเขียวเหลือง และ 4. รถตู้สีขาว


จากนั้นกล้องมุมเดิม ถ้าหากปล่อยภาพต่อไปเรื่อยๆหลังรถทั้ง 4 คันขับมาเหยียบ จะเห็นว่าทั้งคนเดินและคนขับรถแท็กซี่สีฟ้า ไม่มีใครเดินไปเก็บของที่นางไพรินทร์ทำหล่น จนกระทั่งจะเห็นว่าไม่ถึง 40 วินาที นางไพรินทร์ มีการให้วิน จยย. ขี่รถย้อนกลับมา แต่ทำไมไม่เห็นของ หรือของติดไปกับรถที่ขับมาเหยียบ ? และพิรุธอีกอย่างที่ทีมข่าวสังเกตในภาพ จะเห็นว่านางไพรินทร์ มีการยกโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาใครบ้างคนทันทีที่ยังไม่รู้ว่าจะเจอของหรือไม่เจอของ




ขณะเดียวกันวันนี้ ทีมข่าวมีโอกาสได้ไปเจอกับ นายวิเชียร อายุ 50 ปี ซึ่งเป็นผู้ชายที่เดินผ่านกล้องเป็นคนที่ 2 เปิดเผยว่า ในวันเกิดเหตุก่อนที่จะเดินกลับมาที่ออฟฟิศ ตนเองเดินไปซื้อข้าวกล่องใกล้กับจุดที่นางไพรินทร์ ทำทองหล่นจริง ส่วนประเด็นที่ตอนเดินกลับมาได้ยินเสียงของหล่นหรือเสียงคนตกใจ หรือเห็นใครเดินไปเก็บของหรือไม่ ยืนยันว่าไม่ได้สังเกตและไม่ได้ยินเสียงอะไร ขณะที่เดินถือถุงแกงกลับมาที่ออฟฟิศตามภาพในวงจรปิด โดยหลังจากกลับมาแล้วก็เอาถุงแกงไปวางและเดินออกมาเช็ดรถที่หน้าออฟฟิศ และตอนที่นางไพรินทร์นั่งรถวิน จยย. ย้อนกลับมา ก็ไม่ได้สังเกตเพราะนางไพรินทร์ ไม่ได้เดินลงรถมาถามกับใครว่าเห็นของที่หล่นหรือไม่




ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนตัวมองว่ามันแปลกตรงที่ว่า ทำไมคนที่ทำของมูลค่ามาก ๆ หล่นหายถึงไม่มีความกระวนกระวายที่จะเดินถามหาว่าใครเห็นบ้าง ซึ่งถ้าตนเองเป็นคนทำของหล่นหาย ยังไงก็ต้องโวยวายถามหากับคนที่เดินผ่านไปผ่านมา และต้องถามกับทุกคนที่อยู่ใกล้กับจุดที่ทำของหล่นหายว่าใครเห็นของของตนหรือไม่ ส่วนประเด็นตามภาพข่าวช่อง 8 ที่จำลองเหตุการณ์ของหล่นบนถนน กับภาพวงจรปิดที่นางไพรินทร์ทำหล่นจริง ๆ ตนเองมองว่า ของที่มีน้ำหนักคงจะไม่ปลิวไกลขนาดนั้นอย่างแน่นอน




ขณะที่วันนี้ ทีมข่าวช่อง 8 ได้รับข้อมูลภาพวงจรปิดจากนายชัยพร หรือ เสี่ยปุ๊ เจ้าของทองคำ 49 บาท ที่นางไพรินทร์อ้างทำหล่นหาย โดยเสี่ยปุ๊ได้เปิดเผยข้อมูลภาพวงจรปิด ในวันที่ 21 พฤษภาคม ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 17.30 น. บริเวณด้านหลังห้างทองของเขา ในช่วงที่เสี่ยปุ๊กำลังจะนำทองคำ จำนวน 604.1 กรัม หรือจำนวน 49 บาท ออกไปฝากให้กับนางไพรินทร์ที่จังหวัดนครปฐม โดยภาพจากวงจรปิดจะเห็นได้ว่าเสี่ยปุ๊ได้เดินเข้ามาบริเวณหลังร้าน ซึ่งจะมีตู้เซฟเก็บทองคำเป็นทองรูปพรรณและทองแท่ง ที่มีไว้ขายในร้านทองของเขา ซึ่งลูกเขาจะเป็นคนนำถาดทองคำมาเก็บภายในตู้เซฟส่วนตัว เสี่ยปุ๊ได้นำกล่องทองคำซึ่งเป็นลักษณะกล่องกระดาษสีขาว มาวางไว้บริเวณโต๊ะที่อยู่ตรงข้ามกับตู้เซฟ จากนั้นจึงเดินไปเข้าห้องน้ำ และหลังจากนั้นจึงนำกระเป๋าสะพายสีดำมาใส่กล่องกระดาษ ซึ่งด้านในมีทองคำจำนวน 49 บาท และได้สะพายกระเป๋าดังกล่าวเดินออกจากร้านไป




หลังจากนั้นเสี่ยปุ๊ได้เดินเข้ามาที่บ้านของเขาซึ่งอยู่ด้านหลังห้างทองของเขา เพราะรถที่จะใช้เดินทางไปยังจังหวัดนครปฐมได้จอดอยู่บริเวณที่บ้านหลังนี้ ซึ่งหลังจากนั้นเสี่ยปุ๊ได้วางกระเป๋าไว้บริเวณโต๊ะกลางบ้าน และได้เดินเข้าไปภายในห้องครัวเพื่อหยิบพลาสติกสีฟ้า ก่อนจะเดินมาที่กระเป๋าสะพายสีดำที่วางอยู่ที่บนโต๊ะและได้นำกล่องกระดาษซึ่งด้านในมีทองคำหนัก 49 บาท ออกมาใส่ถุงพลาสติกสีฟ้า โดยหลังจากนั้นจึงได้สะพายกระเป๋าสีดำและหิ้วถุงพลาสติกสีฟ้าที่มีกล่องทองคำอยู่เดินออกไปข้างนอกบ้าน


จากนั้นเสี่ยปุ๊จึงได้เดินไปที่รถเบนซ์ สีดำ หลังจากนั้นจึงได้ถอยรถคันดังกล่าว และมุ่งหน้าออกจากบ้านไปยังจังหวัดนครปฐม เพื่อนำนำทองคำ จำนวน 49 บาท ไปฝากให้กับนางไพรินทร์ เพื่อนำเข้าฝากห้างทองใหญ่ ภายในกรุงเทพฯ ขายต่อไป


วันนี้ทีมข่าวได้เข้าไปที่บริเวณร้านทองของเสี่ยปุ๊ ย่านชะอำ แต่เมื่อถึงบริเวณร้านแล้ว ทีมข่าวได้พบว่าร้านทองวันนี้ไม่ได้เปิดให้บริการ ทีมข่าวจึงได้ติดต่อไปยังเสี่ยปุ๊ จึงได้ทราบว่าไปทำธุระที่จังหวัดสุพรรณบุรี และจะกลับมาเปิดร้านในช่วงวันจันทร์ที่จะถึงนี้




นอกจากนี้ยังมีเรื่องการทำนายของพระที่วัดแห่งหนึ่ง ในอำเภอหนองหญ้าไซ จังหวัดสุพรรณบุรี ทีมข่าวจึงได้สอบถามเรื่องนี้กับเสี่ยปุ๊ โดยเจ้าตัวได้เผยผ่านทางโทรศัพท์กับทีมข่าวว่า ในเรื่องดังกล่าวนั้นตนได้เข้าไปหาพระรูปหนึ่งจริง แต่ยังไม่ขอเปิดเผยข้อมูลว่าเป็นที่วัดใดและเป็นพระพระรูปไหน เบื้องต้นตนจะขอดูก่อนว่าที่พระท่านได้ทำนายทายทักมานั้นจะเป็นความจริงหรือไม่ ซึ่งพระรูปดังกล่าวได้ทำนายว่าถ้าตนไม่ตามทองจำนวนดังกล่าวนี้ ก็จะเสมือนการแบ่งกันกินกันใช้ ซึ่งผู้ที่เอาไปก็จะลอยนวล และภายภาคหน้าตนอาจจะเสียโฉนดที่ดินและเงินอีกจำนวนมาก


แต่ถ้าหากตนได้ติดตามทองจำนวนดังกล่าวอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องนั้น ตนก็ได้ทองคืนภายในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ (27 พ.ค.) ซึ่งในตอนนี้ทองจำนวนดังกล่าวอยู่ในพื้นที่จังหวัดนครปฐม โดยยังไม่ได้เข้าไปในจังหวัดกรุงเทพมหานคร และถ้าอยากจะทราบความเคลื่อนไหวของทองและผู้ที่เอาทองไปนั้น ให้ไปดูกล้องวงจรปิดตรงข้าม บ้านของนางไพรินทร์ ก็จะเห็นความเคลื่อนไหวของผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งคนดังกล่าวนั้นจะมีความเกี่ยวข้องกับกรณีที่ทองได้หายไป ข้อมูลตรงนี้เป็นข้อมูลจากพระรูปดังกล่าวที่ได้ทำนายทายทักไว้ ซึ่งในตอนนี้ตนได้ติดตามทองอย่างต่อเนื่อง เพราะมูลค่าของทองที่หล่นไป มีมูลค่าเกือบ 2 ล้านบาท ซึ่งก็เป็นเงินจำนวนมาก


อีกทั้งในตอนนี้ ตนเห็นว่านางไพรินทร์ไม่ได้กระตือรือร้นที่จะให้ข้อมูลอะไรกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและสื่อมวลชนเลย มีแต่ฝ่ายตนฝ่ายเดียวที่เป็นผู้ให้ข้อมูล และดิ้นรนที่จะหาทองจำนวนดังกล่าวคืน ซึ่งในตอนแรกที่ตนได้ให้สัมภาษณ์ไปว่าไว้วางใจนางไพรินทร์ ในตอนนี้ตนก็มีความรู้สึกว่าตนเปลี่ยนใจแล้ว เพราะข้อสังเกตจากการที่ตัวเขาได้นิ่งเฉยและไม่ช่วยค้นหาและให้ข้อมูลอะไรเลย ตนเองยืนยันว่าถ้าหากข้อมูลดังกล่าวเป็นความจริงตนก็จะดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ข้อมูลมูลค่าของทองจำนวน 49 บาทนั้น ไม่ได้เป็นมูลค่าน้อย ๆ เลย




จากคลิปที่ช่อง 8 ได้รับ พบว่า วัตถุที่หล่นจากมือของนางไพรินทร์ลงบนถนน มีการกระเด็นจากจุดที่ตก มันสามารถเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ โดยทางทีมข่าว ได้ทำการจำลองจากนำก้อนหินที่มีจำนวน 600 กรัม ใส่กล่องปิดสนิทและนำใส่ถุงผ้า พร้อมกับนั่งวิน จยย. ด้วยความเร็ว 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง


โดยครั้งที่ 1 มีการปล่อยกล่องลักษณะ เอาด้านแนวนอนลง จะมีลักษณะไถลจากจุดที่ประมาณ 1 เมตร ส่วนครั้งที่ 2 มีการปล่อยกล่องลักษณะ เอาด้านข้างกล่องลง จะมีลักษณะกระเด็นแรงกว่า จากจุดเกิดเหตุที่ตกประมาณ 1.5 เมตร

 

ที่แรกพิรุธทอง 2 ล้านตก! ปลิวว่อนหายวับ ภาพชัดรถ 4 คันส่อพลิกคดี - เสี่ยยันทองหนักอึ้ง