วันนี้ 17 พ.ค. 2567 มีรายงานว่า ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพิชิต ชื่นบาน รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เชิญ ผอ. สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มาเพื่อชี้แจงถึงกรณี ประเด็นข้อสงสัยของสังคม ที่มีการพูดถึงเรื่อง “น้องไนซ์ เชื่อมจิต” หลังทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ได้ตั้งคำถามมายังสำนักพุทธ ว่าจะมีการจัดการเรื่องนี้หรือไม่


โดยนายพิชิต ได้มีการตั้งคำถามไปยัง นายอินทพร จั่นเอี่ยม ผอ.สำนักพุทธฯ ว่าการกระทำดังกล่าว เกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ และผิดกฎหมายด้วยหรือไม่ โดยทาง พศ. ได้ชี้แจงว่า ตามพระไตรปิฎกไม่ปรากฏเรื่องของการเชื่อมจิต ในส่วนเรื่องกฎหมาย หากมีผู้ได้รับความเสียหายก็สามารถดำเนินการได้ แต่ทางสำนักพุทธไม่สามารถเรียกพ่อแม่ของน้องไนซ์เข้ามาพูดคุยได้ เนื่องจากอยู่เหนืออำนาจของสำนักพุทธฯ




ทั้งนี้ คณะทำงานตรวจสอบ กลั่นกรอง ข้อมูล ข่าวสารและการกระทำอันอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ได้มีเอกสารชี้แจง ระบุว่า ตามที่มีการนำเสนอข่าวทางสื่อมวลชนเกี่ยวกับการนำเอาหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนามากล่าวอ้าง ซึ่งเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่าคำสอนนั้นเป็นไปตามหลักธรรมที่ปรากฎในพระไตรปิฎกหรือไม่ และถามถึงอำนาจหน้าที่ของพศ. ว่า สามารถดำเนินการเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวได้อย่างไรหรือไม่ นั้น พศ. ขอชี้แจงกรณีดังกล่าว ดังนี้


1. พศ. มีภารกิจเกี่ยวกับการสนองงานคณะสงฆ์ตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และกิจการทางพระพุทธศาสนา ตาม พ.ร.บ.ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 และกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พ.ศ. 2557 โดยเป็นภารกิจโดยทั่วไปเกี่ยวกับกิจการทางพระพุทธศาสนา กรณีมีการเผยแพร่หลักธรรมที่เข้าข่ายบิดเบือน หรือผิดเพี้ยนจากหลักพระพุทธศาสนา พศ. มิได้นิ่งเฉย โดยได้มอบให้นักวิชาการศาสนาในสังกัดเฝ้าระวังและติดตามตรวจสอบข้อมูลที่บุคคลและกลุ่มบุคคลเผยแพร่ออกมาทางโซเชียลมีเดียตั้งแต่ต้นมาโดยลำดับ และได้ประสานไปยังหน่วยงานที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตรวจสอบตามอำนาจหน้าที่แล้ว


2. ประเด็นการเชื่อมจิตนั้น ไม่ปรากฏหลักฐานในพระไตรปิฎกแต่อย่างใด การเชื่อมจิตเพื่อให้บุคคลเข้าถึงธรรม ขัดกับธรรมคุณ 6 ประการ ซึ่งธรรมของพระพุทธองค์นั้น ผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นชัดด้วยตนเอง คือ ผู้ใดปฏิบัติ ผู้ใดบรรลุ ผู้นั้นย่อมเห็นประจักษ์ด้วยตนเองไม่ต้องเชื่อตามคำของผู้อื่น ผู้ใดไม่ปฏิบัติ ไม่บรรลุ ผู้อื่นจะบอกก็เห็นไม่ได้ อีกทั้งวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน คือ เป็นวิสัยของวิญญูชนจะพึงรู้ได้เป็นของจำเพาะตน ต้องทำจึงเสวยได้เฉพาะตัว ทำให้กันไม่ได้ เอาจากกันไม่ได้และรู้ได้ประจักษ์ที่ในใจของตนนี่เอง (ที่มา “พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต)


3. ประเด็นที่มีบุคคลกล่าวอ้างว่าเป็นอนาคามีแล้วลงมาเกิดเป็นพญานาคก่อน แล้วมาเกิดเป็นมนุษย์ชาตินั้น ตามหลักพระพุทธศาสนาผู้ที่บรรลุธรรมถึงขั้นอนาคามี จะไม่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก (ไม่กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ คือ อัตภาพแห่งมนุษย์) ตามหลักธรรมที่ปรากฏในพระไตรปิฎก (พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก ติกนิบาต เล่มที่ 17 ฉบับมหาจุฬาฯ ข้อ 96)




4. ประเด็นที่มีบุคคลกล่าวอ้างว่าเป็นลูกพระพุทธเจ้าในชาติก่อนเป็นเจ้าชายสิทธัตถะมาเกิดนั้น พระไตรปิฎกเล่มที่ 3 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 25 ฉบับมหาจุฬาฯ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค 2 พุทธวงศ์-จริยาปิฎก ปรากฏพระนามของพระพุทธเจ้าและพระโอรสก่อนออกผนวชแต่ละพระองค์ไว้แล้วอย่างชัดเจน หากผู้ใดกล่าวอ้างว่าเป็นบุตรของพระพุทธเจ้าแล้ว ย่อมสามารถขยายใจความและระบุพระนามพระพุทธเจ้า ในฐานะพระบิดาและพระนามของตนในฐานะพระโอรสในชาติก่อน ๆ ได้ อนึ่ง ชื่อเรียกพระพุทธศากยมุนี เป็นคำพุทธพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าในอดีตที่ทรงพยากรณ์แด่พระโคตมพุทธเจ้าว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตนามว่า พระพุทธศากยมุนี หรือพระโคตมพุทธเจ้านั่นเอง แต่พระโอรสของพระพุทธโคตมพุทธเจ้ามีพระองค์เดียวคือ “พระราหุล” และพระราหุลนั้นท่านได้บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว ย่อมไม่มาเกิดอีก (พระไตรปิฎก เล่มที่ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 6 ฉบับมหาจุฬาฯ มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ สฬายตนวรรค จฬราหุโลวาทสูตร)


5. ประเด็นที่มีบุคคลกล่าวอ้างว่าพระพุทธเจ้าและเทพเกลียดดอกไม้สีเหลือง ให้เอาดอกไม้สีเหลืองออกจากโต๊ะหมู่บูชานั้น ไม่ปรากฏหลักฐานในพระไตรปิฎก และขัดกับพระพุทธจริยา (บำเพ็ญบารมี 10 ประการ) โดยเฉพาะเมตตาบารมีและอุเบกขาบารมี (อปทานะ ภาคที่ 2 จริยาปิฎก) และขัดแย้งกับหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมด ซึ่งรวมเป็นหัวใจคำสอนของพระพุทธศาสนา คือ ละความชั่ว บำเพ็ญความดี และทำจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ (พระไตรปิฎกเล่มที่ 10 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 2 ฉบับมหาจุฬาฯ ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาปทานสูตร ทรงแสดงพระโอวาทปาติโมกข์)


6. ประเด็นที่มีบุคคลกล่าวอ้างว่าได้แสงสีทองจากพระพุทธเจ้ามาเชื่อมจิตนั้น ในหลักอภิญญา 6 ไม่มีการเชื่อมจิตและในหลักของพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท พระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ เมื่อดับขันธปรินิพพานแล้ว จะไม่ปรากฎรูปนามอีกต่อไป ดังความที่ว่า “ชาติสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ไม่มีกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้อีกต่อไป” (พระไตรปิฎกเล่มที่ 13 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 5 มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ ปริพพาชกวรรค อัคคิวัจฉโคตตสูตร)


7. ประเด็นที่มีบุคคลกล่าวอ้างว่าได้รับบัญชาจากพระพุทธเจ้ามาเพื่อฟื้นฟูศาสนานั้น พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงมอบหมายให้ผู้ใด แต่ตรัสกับพระอานนท์ ว่าธรรมและวินัยที่พระองค์แสดงแล้ว บัญญัติแล้ว เมื่อพระองค์ล่วงไป จักเป็นพระศาสดาของท่านทั้งหลาย (พระไตรปิฎกเล่มที่ 10 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 2 ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาปรินิพพานสูตร พระปัจฉิมวาจาของพระตถาคต)


ภายหลังจากการแถลงข่าวของสำนักพุทธฯ ล่าสุด นายสิทธิชัย ไทยเจริญ นายอำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี เปิดเผยว่า วันนี้ทางสำนักงาน พม.สุราษฎร์ธานี ได้ร้องไปยังศาลแล้วซึ่งศาลนัดไต่สวนเรื่องดังกล่าวประมาณกลางเดือนมิถุนายน ที่จะถึงนี้ ส่วนทางด้าน พม. จะได้ดำเนินการหาข้อมูลเอกสารหลักฐานต่าง ๆ เพื่อที่จะยื่นต่อศาลขอคุ้มครองสิทธิ์เด็กเพื่อไม่ให้ผู้ปกครองนำไปทำกิจกรรมต่าง ๆ เหมือนเช่นที่ผ่านมา




ขณะที่ เพจนิรมิตเทวาจุดติ ก็มีความเคลื่อนไหว หลังจากมีแถลงข่าวของสำนักพุทธฯ โดยเพจโพสต์ข้อความว่า “อาจารย์น้องไนซ์ บอกมาตลอดว่า การเชื่อมจิตเป็นวิธีการไม่เคย ยืนยันว่าเป็นคำสอน และสำนักพุทธก็ไม่เคยบอกว่าอาจารย์น้องไนซ์ สอนไม่ตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้า”




ต่อมาเพจ อีซ้อขยี้ข่าว 3 ได้โพสต์คลิป แม่นก แม่น้องไนซ์ พูดว่า เชื่อมจิตอยู่ในพระไตรปิฎก พร้อมข้อความ ระบุว่า “หลักฐานเอาผิดแม่และพ่อ หลังที่ผ่านมาแม่นกพยายามบอกมาตลอดว่า เชื่อมจิตอยู่ในพระไตรปิฎก”
และยังคอมเมนต์อีกว่า “รับจบ ความผิด พ.ร.บ.คอมพ์ แน่นอน ม.14(1) หลักฐานคลิปนี้ชัดสุด สื่อเอาไปนำเสนอต่อได้เลยนะคะ”


ล่าสุดทีมข่าวช่อง 8 ได้มาพูดคุยกับแม่นก แม่ของน้องไนซ์ ถึงประเด็นที่สำนักพุทํออกมาเคลื่อนไหวล่าสุด ซึ่งแม่น้องไนซ์ ให้สัมภาษณ์ว่า จริง ๆ มันก็เรื่องเดิม มันไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ เพราะคำว่าเชื่อมจิตที่น้องบอกไว้ มันคือวิธีการ “ไม่ใช่คำสอน” ทีมข่าวจึงถามแม่นกต่อว่า กรณีเพจอีซ้อเอาคลิปเก่าที่แม่พูดลักษณะว่าการเชื่อมจิตเป็นคำสอนในพระไตรปิฎกนั้นหมายถึงอะไร แม่น้องไนซ์ก็ตอบว่า ไม่ใช่ “เชื่อมจิตคือวิธีการ ไม่ใช่คำสอน”


จากนั้นแม่น้องไนซ์ได้อ่านคำให้การ ของน้องไนซ์ ที่เคยให้การในชั้นศาลว่า “ไม่เคยมีบุคคลใดมาบังคับให้ข้าพเจ้าสอนธรรมะ การสอนธรรมะเชื่อมจิตเป็นความคิดของข้าพเจ้าเอง การเชื่อมจิตหมายถึงการเชื่อมต่อ ต่อยอดขจัด และเคลียร์จิตเชื่อมระหว่าง จิตของมนุษย์และจิตของเทพ ต่อยอดสำหรับผู้ที่ปฏิบัติธรรมอยู่เดิม ขจัดและเคลียร์ ความคิดลบ” ซึ่งมีบางรายการก็เอาไปตัดเฉพาะบางส่วน ทำให้คลาดเคลื่อน น้องไนซ์เคยบอกมาตลอดว่า การเชื่อมจิตคือการเข้าไปสอนในสมาธิ ไม่ได้สอนธรรมะ


ยืนยันว่าไม่กังวลเรื่องการนำเข้าข้อมูลเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ เพราะการสอนทำของน้องมีอันไหนที่เป็นเท็จ แต่บุคคลที่เอาเรื่องราวของน้องไปถ่ายทอด แล้วถ่ายทอดที่เป็นเท็จไม่เป็นความจริง เขาเหล่านั้นน่าจะต้องกังวลมากกว่า “ถ้าคุณว่าการเชื่อมจิตเป็นเท็จ อย่างนั้นการที่หลาย ๆ คนที่สอนธรรมะ ที่ไม่ได้อยู่ในพระไตรปิฎก ก็ต้องถูกจับหมดละมั้ง เพราะมันก็ไม่ได้อยู่ในพระไตรปิฎก”




ส่วนกรณีที่บุคคลหนึ่งไปออกรายการดัง แล้วพูดทำนองว่า ตัวเองเคยเป็นร่างทรงในภาคอีสานมาก่อน ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง ตัวเองไม่เคยอยู่ภาคอีสานมาก่อนเลยค่ะ ตัวเองให้ฉายาพวกนี้ว่า “พวกเท็จ แอดเวนเจอร์” เพราะสิ่งที่เขาพูดมายิ่งเป็นเท็จเท่าไร ตัวเองก็จะเก็บรวบรวมพยานหลักฐานเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย


ส่วนกรณีที่ มีคนกล่าวหาว่าตัวเองเทรดทองคำนั้น ตัวเองก็มองว่า การเทรดหุ้นเทรดทองคำมันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว และน้องไนซ์ซึ่งเป็นเด็กที่อายุเท่านี้ เขาสามารถทำได้ มันเป็นเรื่องปกติ นักธุรกิยทั่วไปเขาก็ทำอยู่แล้ว ยืนยันว่าตอนนี้ยังไม่มีทางสำนักพุทธ หรือหน่วยงานอื่น ๆ ติดต่อมาหาตัวเองแต่อย่างใด


ขณะที่วันนี้ ทางทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม พร้อม ดร.ประยุทธ ประเทศเสนา หรือ มหาหมี รองประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม เดินทางเข้ายื่นหนังสือร้องเรียน “ลัทธิเชื่อมจิต” ต่อ นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)


ทนายอนันต์ชัย เปิดเผยว่า ต้นเหตุทั้งหมดคือ “น้องไนซ์” เด็กชายวัย 8 ขวบ อ้างตนเป็นลูกพระพุทธเจ้า และอ้างตนว่าเป็นผู้วิเศษต่าง ๆ ให้มาสอนธรรม โดยอ้างว่ารับมอบหมายจาก พระศากยมุนี ทำให้วันนี้มายื่นหนังสือ สืบเนื่องมาจากเรื่องของ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก ปี 2546 โดยการห้ามเด็กมาโฆษณาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ ซึ่งในเรื่องนี้มีการนำน้องไนซ์ มาทำการโฆษณาตั้งแต่ปี 2564 โดยการสร้างให้เด็กคนนี้เป็นเด็กวิเศษ โดยการเชื่อมจิตไปยังคนอื่น ๆ และมีการสอนในสมาธิ ตามวิธีของลัทธิ ซึ่งการสอนดังกล่าวไม่มีบัญญัติในพระไตรปิฎก ตามหลักพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ที่คนไทยนับถือ




ซึ่งทั้งหมดทางทนายอนันต์ชัย บอกว่า เป็นการอวดอ้างอวดสรรพคุณเพื่อให้ได้มาซึ่งลาภสักการะ รวมถึงมีเรื่องของการทรมานเด็กขณะที่เด็กเชื่อมจิตแล้วทำไม่ไหว ทั้งนี้ยังมีในเรื่องของน้องไนซ์ ที่เสี่ยงกระทำความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน หมิ่นประมาท บุคคลอื่น และอื่น ๆ อีกด้วย


ทนายอนันต์ชัย ยังบอกอีกว่า ในวันนี้ทางมูลนิธิทนายกองทัพธรรม เผยว่า มีหลักฐานพยานพร้อมซับพอร์ทหน่วยงานที่ดำเนินการครั้งนี้ และมีทนาย 300 กว่าคน พร้อมผู้เชี่ยวชาญทางศาสนาร่วม 100 คน ในการดำเนินการด้วย และขอส่งกำลังใจไปให้เจ้าหน้าที่ พม. จ.สุราษฎร์ธานี หลังถูกแม่น้องไนซ์และคณะไม่พอใจ เข้าแจ้งความ ม.157 อีกด้วย โดยบอกว่า ขอส่งกำลังใจให้เข้าหน้าที่ที่ดำเนินการ ในการจัดการเรื่องนี้ด้วย

สำนักพุทธฯ ยัน! "เชื่อมจิต" ไม่มีในพระไตรปิฎก "อนันต์ชัย" ร้องสอบ "น้องไนซ์" ส่อผิด ฉ้อโกง - พ.ร.บ.คอมฯ