จากกรณีสมาชิก TikTok รายหนึ่งโพสต์คลิป น้องเสียงแคนใส่ชุดนักเรียนนั่งเล่นเปียโน ร้องเพลงอยู่ที่ตลาดแห่งหนึ่ง และมีป้ายไวนิลติดไว้ตรงหน้าเปียโน มีข้อความว่า “แม่ผมตาย ลุงโกงเงินผม พ่อผมล้มละลาย ช่วยพวกเราด้วยครับ” นอกจากนี้ น้องยังได้โพสต์คลิปเป็นการซ้อมเพลงเพื่อเตรียมไปเล่นตามตลาดหาเงินเลี้ยงชีพ โดยพ่อบรรยายในคลิปว่า น้องกำลังซ้อมเล่นเพลงเดือนเพ็ญ เพื่อไปเล่นตามตลาดนัดหาเงินเลี้ยงชีพ ส่วนห้องที่อยู่ก็เช่าเขา




ล่าสุด (2 พ.ค. 2567) ทีมข่าวช่อง 8 ได้แชตหลักฐานใหม่จากแหล่งข่าวลับที่ออกมาเปิดเผยพฤติกรรมรุนแรงขณะสอนลูกของพ่อน้องแคน โดยแชตที่เรากำลังเปิดเผยเป็นแชตส่วนตัว ที่พ่อของน้องแคนกำลังคุยกับลูกชายในช่วงต้นเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา


แชตหน้าแรก พ่อน้องแคนสอนลูกระบุข้อความว่า “ติดคุกเดี๋ยวก็ออกตายแล้วไปเลยเลย เรื่องเงินเรื่องสำคัญลูกต้องมีเก็บจะได้ไม่ลำบากเวลาชีวิตตกต่ำ พ่อรักลูก อ่อนแออยู่ไม่ได้หรอก” พร้อมกับพ่อโชว์ปืนกล็อก 19 เจน 5 มีทะเบียนชื่อครอบครองเป็นชื่อของตนเอง ซื้อในราคา 85,000 บาท ให้ลูกดูทางไลน์ พร้อมกับสอนลูกเพิ่มเติมว่า “สมบัติแม่ทุกอย่างพ่อเก็บไว้ให้เสียงแคน”




แชตหน้า 2 พ่อมีการพูดคุยกับน้องแคนอีกว่า “ฝากบอกลุงว่าคดีเปียโน ศาลอุทธรณ์เลื่อนออกอ่านคำพิพากษาออกไปไม่มีกำหนด ส่วนคดีรื้อของในบ้านไปขายเลี้ยงลูกต้องรอเขาแจ้งความก่อน ตอนนี้พ่อกำลังขนของออกจากบ้านปากน้ำ เขายังไม่กล้าเข้ามากลัวพ่อยิงทิ้ง เข้าใจไหมลูก”


วันนี้ทีมข่าวช่อง 8 เดินทางมาพูดคุยกับนางสาวแอน (นามสมมติ) เป็นเพื่อนของแม่น้องแคน ซึ่งแม่ของน้องแคนเสียชีวิตไปแล้วเมื่อปี 2566 เผยว่า ตนเองเป็นเพื่อนรักกับแม่น้องแคน ทราบความเป็นไปของเพื่อนตั้งแต่ตอนเรียนช่วงมหาวิทยาลัยด้วยกัน จนกระทั่งตอนที่เพื่อนเสียชีวิต


โดยแม่น้องแคนเป็นสาวมั่นเป็นวิศวกรที่มีเงินเดือนสูง มีชีวิตความเป็นอยู่ที่สบายและมักจะใช้กระเป๋าแบรนด์เนมเสมอ แต่ชีวิตกลับต้องพลิกผันตั้งแต่มาเจอพ่อน้องแคน ช่วงแรก ๆ ที่เพื่อนเจอนายอนุชา พ่อของน้องแคน เพื่อนส่งรูปนายอนุชาในเฟซบุ๊กที่มักโพสต์ว่าตัวเองกำลังขึ้นเครื่องอยู่สนามบินใช้ชีวิตหรูโปรไฟล์ดีให้ตนดู แต่ตนก็เตือนสติเพื่อนว่า “ใคร ๆ ก็ทำได้โปรไฟล์แบบนี้ แค่ไปยืนถ่ายรูปที่สนามบินทำรูปให้ดูดี ใครก็สร้างขึ้นมาได้” แล้วเพื่อนเป็นคนที่ขี้กังวลวันแรกที่เพื่อนนัดเจอกับนายอนุชาก็ชวนตนให้ไปเป็นเพื่อน เพื่อไปคัดกรองผู้ชายคนนี้ด้วยกัน


วันแรกที่ตนและเพื่อนเจอกับนายอนุชา ทุกอย่างตาลปัตรไม่เป็นอย่างที่คิด ผู้ชายที่เพื่อนไปเจอภายนอกดูปลอมมาก การแต่งตัวด้วยเสื้อยืดและกางเกงยีนส์ ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ประดับตกแต่งตามที่เคยปรากฏในภาพโปรไฟล์หรูที่ส่งให้เพื่อนตนเองดู แล้วเจอครั้งแรกเพื่อนตนเองเป็นคนออกค่าอาหารทั้งหมดไม่ใช่ผู้ชายเป็นคนออก ตนก็เตือนเพื่อนไปว่าแค่ค่าอาหาร ผู้ชายยังไม่มีศักยภาพในการออกเงินช่วยก็ให้เพื่อนตนเองคิดดี ๆ หากจะคบผู้ชายคนนี้ แล้วมารู้ภายหลังว่าผู้ชายคนนี้เชียร์เพื่อนของตนให้เลิกคบตัวเอง แต่เพื่อนไม่เลิกคบเพราะตนเป็นเพื่อนสนิทที่สุดที่เธอไว้ใจ




มาทราบภายหลังตอนที่เพื่อนท้องและคลอดน้องแคนออกมา ตอนนั้นเพื่อนเป็นวิศวกรที่มีเงินเดือนสูงมาก แล้วก็มีการซื้อบ้านหรูโดยเป็นชื่อครอบครองของเพื่อน โดยที่เพื่อนเป็นคนออกเงินผ่อนแต่ละเดือนทั้งหมด อีกทั้งค่าใช้จ่ายของน้องแคน เพื่อนก็เป็นคนออกทั้งหมดเช่นกัน เนื่องจากตัวสามีไม่มีศักยภาพในการทำงาน จะจับธุรกิจอะไรก็ล้มละลายทั้งหมด และเป็นคนขี้เกียจจึงทำงานไม่เป็นชิ้นไม่เป็นอัน


ด้วยความที่เพื่อนอยากสร้างครอบครัวให้เข้มแข็ง และอยากให้สามีได้มีงานทำก็เลยไปทำบัตรเครดิตประมาณ 4-5 ธนาคาร แล้วกดเงินออกมาเต็มวงเงินบัตรเครดิตเพื่อมาเปิดธุรกิจรถแท็กซี่ เพราะเพื่อนต้องใช้จ่ายเยอะในแต่ละเดือนมีภาระมากขึ้น จึงต้องทำงานสองทาง ทั้งเงินเดือนวิศวกร และธุรกิจส่วนตัว และหวังให้สามีมีงานทำเป็นชิ้นเป็นอันคือบริหารธุรกิจแท็กซี่ แต่ปรากฏว่าขาดทุนไม่เคยได้กำไรในที่สุดไปไม่ไหวจนธุรกิจล้มละลาย บ้านก็โดนธนาคารยึดทรัพย์


ตนได้ไปเยี่ยมเพื่อนหลังจากที่ทุกอย่างของเธอพังทลาย แล้วต้องสลดใจมากเพราะบ้านหรูที่เพื่อนซื้อและผ่อนด้วยน้ำพักน้ำแรงตอนนี้ถูกยึดแล้ว ซึ่งขณะที่ตนเข้าบ้านหลังนั้น สามีของเพื่อนกำลังต่อไฟฟ้าลักษณะผิดกฎหมาย เพื่อให้เพื่อนและน้องแคนสามารถอยู่ในบ้านหลังนั้นได้ ตนก็ตกใจมากที่เพื่อนตนทำไมถึงมาอยู่สภาพแบบนี้ ชีวิตหน้ามือกลายเป็นหลังมือจึงเตือนสติเพื่อนตนเองและหาทางออกช่วย




และโชคดีที่เพื่อนตนเชื่อจึงย้ายโรงเรียนลูก จากโรงเรียนอินเตอร์นานาชาติมาเรียนอยู่ที่โรงเรียนรัฐบาล ซึ่งเป็นโรงเรียนปัจจุบันของน้องแคน และยอมย้ายออกมาจากบ้านพักหรูและเลิกกับสามี พาลูกมาอยู่ที่คอนโดแห่งหนึ่ง แล้วชีวิตเพื่อนของตนก็เริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ ดูมีความสุขไม่ได้มีหน้าตาเศร้าหมองและผอมเหมือนตอนที่อยู่กับสามีคนนี้ แต่เพื่อนตนก็บ่นให้ฟังอีกว่า ตัวสามียังคงมารับลูกไปอยู่ด้วยทุกเสาร์-อาทิตย์ ซึ่งก็รับลูกไปอยู่ที่บ้านที่ถูกธนาคารยึดทรัพย์เพราะสามีไม่มีที่ไป แต่วีรกรรมก็สุดแสบจะเอาลูกมาคืนเพื่อนของตนต่อเมื่อเพื่อนของตนยอมโอนเงินค่าน้ำมันให้ครั้งละ 2,000-3,000 บาท คือถ้าเพื่อนไม่ให้เงินก็จะไม่ยอมส่งลูกมาคืนให้เพื่อนเป็นแบบนี้ทุกครั้ง


หลังจากเพื่อนของตนป่วยเป็นโรคมะเร็งและเสียชีวิต ยังระบุห้ามสามีมาที่งานศพเพราะน่าจะสุดทนกับพฤติกรรมของผู้ชายคนนี้ แล้วนายอนุชาก็เอาน้องแคนไปอยู่ด้วย ซึ่งตนไม่เห็นด้วยเพราะอยากให้น้องแคนอยู่กับลุงมากกว่า ระหว่างที่น้องแคนอยู่กับผู้ชายคนนี้ ผู้ชายคนนี้ก็ยังโทร. มาขอยืมเงินกับตน โดยอ้างว่าลูกไม่มีเงินกินข้าว ด้วยความสงสารตนก็โอนเงินให้หลังจากนั้นก็บล็อกไลน์ผู้ชายคนนี้ทันที ไม่ใช่ว่าไม่สงสารเด็กแต่ทราบพฤติกรรมพ่อของเด็กดี จึงไม่อยากยุ่งด้วย


วอนคนไทยอย่าไปหลงเชื่อหรือบริจาคเงินให้ผู้ชายคนนี้ น้องแคนไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอก และเรื่องทั้งหมดไม่ใช่เรื่องจริงตามที่ผู้ชายคนนี้ทำคอนเทนต์ เพราะต่อให้พ่อจะติดกำไร em ที่ขา แต่คนเรามีความสามารถยังไปทำงานได้แต่ทำไมพ่อไม่หางานทำ ไม่ใช่เอาลูกมาทำแบบนี้ ควรให้ลูกมาอยู่กับลุงดีกว่า “อยากให้สังคมไทยเปลี่ยนมุมมองใหม่ ว่าทุกคนอยากให้ลูกอยู่กับพ่อกับแม่ แต่กรณีนี้พ่อไม่มีศักยภาพในการเลี้ยงลูก การที่เอาเด็กไปทำแบบนั้นไม่ต่างจากขอทาน คนที่รวยจากการสร้างคอนเทนต์คือพ่อ”


ตนไม่อยากให้หลานอยู่กับพ่อ อยากให้หลานอยู่กับลุง เพราะทางบ้านเพื่อนเป็นครอบครัวที่มีฐานะ เด็กจะไม่กลายเป็นเด็กที่อยู่ตามตลาดนัดแบบนี้ และอยากฝากอีกว่า ถ้าเด็กยังอยู่กับพ่อ เพื่อนตนคงนอนตายตาไม่หลับ ส่วนตัวไม่เคยฝันถึงเพื่อนเพิ่งมาฝันถึงช่วงสัปดาห์ก่อน เพื่อนมาหาตนในฝัน เพื่อนรักเด็กคนนี้มาก คงหวังให้เขาอยู่กับลุง




ขณะที่ นายอนุชา อายุ 52 ปี พ่อของน้องแคน เปิดใจกับทีมข่าวทุกประเด็นว่า ประเด็นแรกที่สังคมตั้งข้อสงสัยว่าทำไมตัวพ่อไม่ยอมยกลูกให้กับลุง เนื่องจากยอมรับว่าทางครอบครัวของฝ่ายภรรยาเป็นครอบครัวที่มีฐานะ แต่ทำไมครอบครัวที่มีฐานะถึงทำให้ตอนที่ภรรยาเรียนอยู่ระดับปริญญาตรี มีการกู้ยืมเงินก็ กยศ. เรียน ก็เพราะพี่ชายภรรยาเอาบ้านของครอบครัวภรรยาไปจำนอง ทำให้มีสภาวะการเงินที่ฝืดเคืองในช่วงนั้น


แถมพี่ชายภรรยาต้องการให้ลูกของตนไปเรียนต่อระดับปริญญาตรีที่ประเทศอินเดีย ตนอยากถามคืนว่าประเทศอินเดียประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ไม่ดีมากนัก ตนก็โทร. ไปบอกพี่ชายว่าอย่าพรากลูกไปจากตน ส่วนเงินประกันชีวิตและผลประโยชน์ต่าง ๆ ที่ภรรยาได้มอบให้ลุง ลุงก็ได้ไปแล้วแต่ก็ไม่เคยมาดูแลหลาน ซึ่งตนยังยืนยันอีกว่าตนไม่เคยพูดว่าจะยกลูกให้ลุงเพื่อเป็นลูกบุญธรรม




ประเด็นสอง ที่สังคมตั้งคำถามว่าทำไมภรรยายกผลประโยชน์ให้พี่ชายไม่ยกให้ตนที่เป็นสามี ก็เพราะตนไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับภรรยา พี่ชายคือสายเลือดของภรรยา ภรรยาก็ยกผลประโยชน์ให้ตามกฎหมายก็ถูกต้องแล้ว อีกทั้งตนก็มีเรื่องขัดแย้งกับภรรยาก่อนที่เจ้าตัวจะเสียชีวิต ไม่ขออธิบายว่าเรื่องอะไร จนกระทั่งภรรยาโกรธมากสั่งเสียไว้ก่อนเสียชีวิต ว่าไม่ให้ตนเข้าไปงานศพของภรรยา


ประเด็นที่สาม ที่มีคนกล่าวอ้างว่าตนทิ้งภาระหนี้ให้ภรรยาและสร้างหนี้ไว้จำนวนมาก อยากให้เข้าใจว่าตอนที่มีชีวิตอยู่ก็สร้างมาด้วยกัน พอตนมีเงินก็ทำดีกับตน แต่พอตนเองล้มละลายก็ถีบหัวตนออกจากชีวิต โดยทางภรรยาหอบลูกไปอยู่ที่คอนโดโดยไม่บอกกล่าวตนสักคำ แล้วทิ้งให้ตนอยู่ที่บ้านหรูที่ถูกธนาคารยึดทรัพย์โดยไม่เหลียวแลตน ชี้ตระกูลภรรยาทำตัวยิ่งใหญ่แต่หัวใจเท่ามด ตนไม่อยากพาดพิงผู้ตาย ยืนยันเป็นสุภาพบุรุษ ทั้งนี้ ตนเคยเตือนภรรยาว่าอย่าไปกู้เงินธนาคารเพื่อมาทำธุรกิจ และอย่าเอาลูกไปเรียนโรงเรียนนานาชาติเพราะค่าเทอมมันแพง แต่ภรรยาไม่เคยเชื่อพอเกิดหนี้สินก็โทษว่าเป็นความผิดตน

 

ญาติฝ่ายแม่เตือนสังคมหยุดบริจาค พ่อ "น้องแคน" ลั่นขอเลี้ยงลูกเอง