เมื่อเวลาประมาณ 03.30 น. วันที่ 18 เม.ย 2567 ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.5 บก.จร. ได้ตั้งด่านตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ อยู่บริเวณปากซอยรัชดาภิเษก 31 ถ.รัชดาภิเษก แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กทม. ได้มีรถ BMW ขับชะลอเข้าจุดตรวจ ท่าทีมีพิรุธต้องสงสัย เมื่อถึงจุดตรวจเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้เรียกให้หยุดแต่คนขับรถไม่ยอมหยุดรถ และได้ขับรถฝ่าจุดตรวจ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงใช้แผงเหล็กเลื่อนมากันเพื่อหยุดรถ แต่คนขับไม่ยินยอมหยุด และขับชนแผงเหล็ก

 

ต่อมาเมื่อรถเคลื่อนที่ไม่ได้ เจ้าหน้าที่ฯ จึงได้ร่วมกันจับกุมคนขับลงมาจากรถ เพื่อทำการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ ซึ่งคนขับไม่ยินยอมให้ตรวจวัด ด.ต.พัชรพล จึงใช้เครื่องตรวจวัดเบื้องต้น แบบไม่สัมผัสจ่อใกล้ปากและจมูก วัดปริมาณแอลกอฮอล์ ผลวัดได้ 183 มิลลิกรัมเปอร์เซนต์ จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบว่า "ขับรถในขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น และฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานจราจรที่สั่งให้มีการทดสอบว่าผู้ขับขี่ขับรถในขณะเมาสุรา หรือเมาอย่างอื่น" ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ประชาชื่น ดำเนินคดี

 

ในชั้นสอบสวน เบื้องต้นคนขับให้การปฏิเสธ และอาการเมาโวยวาย ไม่รับทราบในข้อกล่าวหา และกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีอำนาจในการจับกุม รวมถึงได้แจ้งว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจลักเอาทรัพย์สินของตนไป เจ้าหน้าที่จึงใช้กำลังบังคับ ควบคุมตัวเข้าห้องควบคุมของ สน.ประชาชื่น ซึ่งต่อมาเจ้าตัวได้วางหลักทรัพย์ 2 หมื่นบาท ยื่นประกันตัวออกไป

 

ความคืบหน้าล่าสุด พ.ต.อ.สัญญา อุบลวิรัตนา ผู้กำกับการ สน.ประชาชื่น เปิดเผยว่า เมื่อผู้ต้องหามาถึงสถานีตำรวจ ซึ่งอยู่ในอาการมึนเมาสุรา พูดจาวกวนไปมา ต้องให้นั่งสงบสติอารมณ์จนหายมึนเมาสุรา ถึงจะพูดคุยได้ ซึ่งผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ก่อนจะปรับพินัยในข้อหา "ฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานจราจรที่สั่งให้มีการทดสอบผู้ขับขี่ขับรถในขณะเมาสุรา" เป็นจำนวนเงิน 1,000 บาท พร้อมกับควบคุมตัวผู้ต้องหาส่งฟ้องต่อศาลแขวงพระนครเหนือในข้อหา "ขับรถในขณะเมาสุรา หรือเมาของอย่างอื่น" โดยศาลมีคำพิพากษาจำคุก 2 เดือน ปรับ 4,000 บาท รอลงอาญา 2 ปี พักใบอนุญาตขับขี่ 6 เดือน พร้อมกับให้บำเพ็ญสาธารณประโยชน์เป็นเวลา 12 ชั่วโมง

 

ทีมข่าวได้ลงพื้นที่บริเวณปากซอยรัชดาภิเษก 31 พบว่าบริเวณดังกล่าวนั้น ไม่มีการติดตั้งกล้องวงจรปิดที่สามารถบันทึกเหตุการณ์ในคืนดังกล่าวได้ ส่วนจากการสอบถามชาวบ้านในพื้นที่เปิดเผยว่า บริเวณดังกล่าวนั้น ตำรวจจะมาตั้งด่านทุกสัปดาห์เพื่อสกัดจับคนเมาและกวดขันจราจร โดยมักจะมาตั้งด่านในช่วงวันพุธกลางสัปดาห์ตั้งแต่สี่ทุ่มไปจนถึงทั้งคืน ส่วนกรณีของลูกชายรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงนั้น ชาวบ้านในพื้นที่ก็เพิ่งมาทราบข่าวจากที่ปรากฏตามสื่อต่าง ๆ

 

ด้าน พ.ต.อ.สัญญา อุบลวิรัตนา ผกก.สน.ประชาชื่น เปิดเผยข้อมูลคดีนี้กับทีมข่าวว่า ทางตำรวจ บก.จร. นำตัวผู้ต้องหามาถึง สน. เวลาประมาณตีห้า ยังอยู่ในอาการมึนเมาสุรา พูดจาวกวนไปมา ต้องให้นั่งสงบสติอารมณ์จนหายมึนเมาสุรา ถึงจะพูดคุยได้ ทางตำรวจ สน.ประชาชื่น จึงแจ้งข้อหา "ขับรถในขณะเมาสุรา หรือเมาของอย่างอื่น" และ "ฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานจราจรที่สั่งให้มีการทดสอบผู้ขับขี่ขับรถในขณะเมาสุรา" ซึ่งผู้ต้องหาก็ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ก่อนจะดำเนินการควบคุมตัวผู้ต้องหาส่งฟ้องต่อศาลแขวงพระนครเหนือในช่วงเช้าวันเดียวกัน โดยศาลมีคำพิพากษาจำคุก 2 เดือน ปรับ 4 พันบาท รอลงอาญา 2 ปี พักใบอนุญาตขับขี่ 6 เดือน พร้อมกับให้บำเพ็ญสาธารณประโยชน์เป็นเวลา 12 ชั่วโมง

 

ทีมข่าวของเราติดต่อไปยัง นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยเจ้าตัวให้สัมภาษณ์ว่า ส่วนตัวยังไม่ทราบ เดี๋ยวต้องขอเช็กกับเขาอีกที เพราะปกติไม่ค่อยเจอกัน เพราะเขาเป็นลูกชายคนโต แยกครอบครัวไปแล้ว เขาไม่ได้มาหาตั้งนานแล้ว และวันที่เกิดเหตุตนก็อยู่ต่างจังหวัดเลยยังไม่ทราบข่าว ช่วงนี้ ออกงานชาวบ้านเยอะ จึงยังไม่ได้ติดตามข่าว

 

ทั้งนี้ นายสันติ ย้อนถามว่าไม่มีอะไรร้ายแรงใช่หรือไม่ ผู้สื่อข่าวจึงเล่ารายละเอียดให้ฟัง ว่า เขาเมาแล้วขับฝ่าด่าน นายสันติ จึงกล่าวว่า ไอ้พวกหนุ่มๆพวกนี้เทศกาลมันแย่มาก แต่ปกติแล้วเขาเป็นเด็กดี ก่อนจะยืนยันว่า แม้จะเป็นลูกของตนหรือเป็นลูกรัฐมนตรีก็ช่วยเหลืออะไรไม่ได้หรอก เพราะหากเจ้าหน้าที่ตำรวจเป่าแอลกอฮอล์ปริมาณสูงทุกอย่างมันก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายช่วยเหลืออะไรไม่ได้ จะมายกเว้น เป็นไปไม่ได้ และที่จริงต้องขอบคุณตำรวจด้วยเพราะหากไปเมาแล้วขับเกิดอุบัติเหตุ เดี๋ยวก็ได้นั่งร้องไห้กันบ้างล่ะ

 

เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่จะส่งผลถึงการปรับคณะ​รัฐมนตรี ​นายสันติ มองว่า ไม่หรอก ไม่เกี่ยวกันหรอก

 

เมื่อถามว่า เรื่องคดีในฐานะพ่อ จะช่วยดูอย่างไร นายสันติ ย้ำว่า เดี๋ยวจะถามเขาดู ก่อนจะย้ำว่า ไม่มีอะไรหรอก เราต้องเคารพกฎหมายอยู่แล้ว

ลูกรัฐมนตรีช่วยฯเมาซิ่งรถหรูแหกด่าน ด้าน "สันติ พร้อมพัฒน์" ยันไม่ช่วย ต้องเคารพกฎหมาย