วันที่ 20 มี.ค.67 ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ตั้งโต๊ะแถลงพร้อมกันหลังจากนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เรียกทั้งคู่เข้าพูดคุยและเคลียร์ใจกันที่ทำเนียบรัฐบาล

 

โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ระบุว่า วันนี้ได้มีการเชิญสื่อมวลชนเพื่อมารับทราบข้อมูลเพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันในการเสนอข่าวและเพื่อไม่ให้เป็นการสับสนเพราะเป็นภาพรวมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งตนในฐานะเป็นผู้บังคับบัญชาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เห็นว่าภาพที่ปรากฏออกไป อาจทำให้หลายคนเข้าใจ ในการดำเนินการต่างๆหลากหลายความคิด

 

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ระบุว่า ในส่วนของเรื่องคดีจากนี้ไปคดีที่เกี่ยวเนื่องกันทั้งหมด จะส่งให้ ป.ป.ช. ทำคดีทั้งหมด เพื่อให้เป็นคนกลางในการทำให้เกิดความยุติธรรมซึ่งได้นำเรียนนายกรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะกล่าวถึงภาพความขัดแย้งที่เกิดขึ้นว่า “คนนั้นพูดทีคนนี้พูดที” ส่วนตัวเคยพูดเสมอว่ามีการพูดคุยกับรองสุรเชษฐ์ตลอด บางทีไม่ได้เจอก็คุยผ่านลูกน้องตลอด พวกเราไม่ได้มีความขัดแย้งกัน ในฐานะผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติพูดเสมอว่าเราจะต้องอยู่เหนือความขัดแย้ง

 

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า เรื่องการส่งมอบคดีให้ ป.ป.ช. เป็นคนดำเนินการทั้งหมด ซึ่งตนเป็นคนคิดและตัดสินใจ โดยโทรศัพท์ไปหา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เพื่อชวนไปพบนายกรัฐมนตรี จากนั้นได้เสนอต่อนายกรัฐมนตรีให้ รวมสำนวนคดีเว็บพนันทั้ง สน. เตาปูนและสน.ทุ่งมหาเมฆ ไปให้ ป.ป.ช.ดำเนินการต่อ เพื่อความความยุติธรรม และไม่เกิดภาพของความขัดแย้งขึ้นอีก อีกอย่างเรื่องนี้ต้องไปเกี่ยวเนื่องกับกระบวนการยุติธรรมอีกหลายหน่วยงานที่ต้องเข้ามาตรวจสอบเพื่อให้เกิดความยุติธรรมและได้มาตรฐานที่สุด

 

ด้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุว่า วันนี้ ท่าน ผบ.ตร.ได้พาตนไปพบกับนายกรัฐมนตรีแล้ว ซึ่ง ผบ.ตร. มีแนวคิดที่จะหยุดความขัดแย้งทั้งหมดในองค์กร เพราะฉะนั้นวันนี้ต้องกลับมาตั้งแต่ รอง ผบ.ตร.หมายเลข 1 ลงไป จนถึงชั้นประทวนทุกคนในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีผู้บังคับบัญชาคนเดียว คือ ผบ.ตร.

 

ส่วนเรื่องหมายจับและหมายเรียก เมื่อมาถึง ป.ป.ช. ต้องเป็นกระบวนการของ ป.ป.ช. ส่วนจะมีการออกหมายเรียกหรือหมายจับหรือไม่นั้นต้องเป็นอำนาจของ ป.ป.ช. ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นกระบวนการของกฎหมาย

 

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า เรื่องเก่าเราต้องไม่พูดคุยแล้ว เราต้องเดินหน้าทำงานให้ประชาชนอย่างเดียว วันนี้ผมเองก็ต้องทำงานช่วยผบ.ตร. และการที่นัดแถลงวันนี้ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่า ให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นว่าจากนี้ไปจะไม่มีความขัดแย้งใดๆทั้งสิ้น จะไม่มีโซเชียลมีเดียใดๆทั้งสิ้น และสื่อมวลชนก็ต้องช่วยด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ ผบ.ตร.เองก็มีแนวคิดชัดเจนมั่นคงในการรับนโยบายจากนายกรัฐมนตรี ว่าจะนำพาองค์กรให้มีความสามัคคี และทำงานให้ประชาชนอย่างเต็มรูปแบบ และย้ำว่า เราไม่ได้มีความขัดแย้งกันเลย

 

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวอีกว่า มันก็มีคนที่อยากให้เกิดความขัดแย้ง พี่น้องสื่อเองที่นั่งอยู่ตรงนี้ก็แบ่งเป็น 2 ฝัก 2 ฝ่ายใช่หรือไม่? พี่อยากให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วทำไมสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชนอีกตั้งเยอะแล้วทำไม ไม่โฟกัสพวกพี่เรื่องนี้ มัวแต่ไปโฟกัสเหมือนกับว่าพวกพี่ขัดแย้งกัน พี่ไม่เคยไปขัดแย้งกับใคร การจะเตะสกัดขา ทำไมพี่ต้องเตะบิ๊กโจ๊ก

 

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวต่อว่า หากถามว่าเครียดหรือไม่ ยอมรับว่าเครียด แต่ก็พยายามทำให้ดีที่สุด พยายามประนีประนอม ไม่ให้เกิดภาพของความขัดแย้ง อยากให้ลูกน้องมีความสุข และมีขวัญกำลังใจเพราะเราโดนกระแทกมา แต่ไม่อยากให้เป็นประเด็น ไม่อยากให้ท่านนายกฯกระทบด้วย ไม่อยากให้อยากเอาเรื่องพวกนี้ไปให้ท่านไม่สบายใจ และตนก็ไม่สบายใจจึงตัดสินใจไปพบนายกฯ ซึ่งคดีทั้งหมดจากนี้ให้เป็นหน้าที่ของ ป.ป.ช. เราจะไม่เป็นเครื่องมือของใคร เราจะเป็นเครื่องมือของพี่น้องประชาชนตนอยากทำงานเพราะเหลือเวลาอีกแค่ 194-195 วัน เข้าสู่การนับเวลาถอยหลังซึ่งตนอยากทำทุกวันให้ดี

 

ต่อมา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ อธิบายถึงการถูกออกหมายเรียกล่าสุด ข้อหาสมคบฟอกเงิน ซึ่งออกหมายโดย สน.ทุ่งสองห้อง ว่าตามกฎหมายล่าสุด ผบ.ตร. มีนโยบายส่งสำนวนทุกเรื่องให้ ป.ป.ช. เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ส่วนการออกหมายเรียกข้อหาสมคบฟอกเงิน ซึ่งออกหมายโดย สน.ทุ่งสองห้อง ขอเรียนว่าตอนนั้นตนอยู่ที่ จ.เชียงใหม่ แต่วันนี้หลักการรับหมายตาม ป.วิอาญา เจ้าตัวต้องรับหมาย หรือพ่อ แม่ และญาติรับ จะไปฝากไว้กับเด็กที่บ้านไม่ได้ ดังนั้น วันนี้ตนยังไม่ได้รับหมายเรียก กระบวนการยังไม่เริ่ม ส่วนที่เรียกไปวันไหนนั้นตนยังไม่รู้ เพราะยังไม่เห็นหมายเห็นแต่ในข่าวว่าวันที่ 21 มี.ค.67

 

เมื่อถามถึงประเด็นที่ พล.ต.ต.นำเกรียติ ลูกน้องบิ๊กโจ๊ก 1 ในผู้ต้องหาออกมาแฉว่ามี ภรรยา , พี่สาว และคนใกล้ชิด นายพล ต. พัวพันเว็บพนัน เนื่องจากเส้นเงินถึงบุคคลดังกล่าว เรื่องนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ต้องมีการตรวจสอบวินัย อีกทั้งกรณีนี้ ยังเป็นแค่การพูด ไม่มีตัวตน ส่วนลูกน้องตน 8 นาย ที่ตกเป็นผู้ต้องหาคดีเว็บพนันมินนี่ และถูกผบ. ตร. สั่งมาช่วยราชการที่ ศปก.ตร. ก็จะต้องช่วยราชการต่อไป ทั้งนี้ ย้ำว่า การนั่งแถลงวันนี้ ไม่ใช่ สตช.การละคร ไม่ใช่อีเวนต์

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ผบ.ตร. ให้ใจ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้ว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ให้ใจ ผบ.ตร. และพนักงานสอบสวนกี่เปอร์เซ็นต์ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ตอบว่า เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นมาจากการให้ดำริของ ผบ.ตร. ไม่ใช่การมาขอต่อรอง หรือขอความเมตตา เพราะ ผบ.ตร. เห็นถึงความสำคัญภายในองค์กร จึงนำมาสู่การบอกให้ตนเองไปพบนายกรัฐมนตรีในวันนี้

 

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยืนยันว่า ซึ่งวันนี้ไม่ว่าอย่างไร ตนก็ต้องเทใจให้ ผบ.ตร. เกินร้อย เพราะเรื่องทั้งหมดเกิดจากการที่ ผบ.ตร. ดำริ และพนักงานสอบสวนทั้งหมดคือลูกเล็กเด็กแดงที่ทำหน้าที่ พร้อมย้ำว่า “ทุกอย่างเมื่อจบแล้วก็ต้องจบ” และคนเหล่านี้ก็คือลูกน้องตนเหมือนกัน และต้องไม่คิดเป็นอย่างอื่นเมื่อเดินหน้าแล้ว จะต้องไม่คิดย้อนหลังอีก การทำงานจากนี้เป็นต้นไป จะต้องมีแต่เรื่องงานเพื่อประชาชน เพื่อชาติบ้านเมืองเพียงอย่างเดียว

 

ส่วนลูกน้อง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จะมีการถอนฟ้องพนักงานสอบสวนที่ทำคดีเว็บพนันมินนี่ด้วยหรือไม่นั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุว่า เดี๋ยว ผบ.ตร. เรียกมาคุยก็จะถอนฟ้องกันหมด เรื่องก็จบแบบลูกผู้ชาย และหลังจากนี้ ใครที่ฟ้องใครก็จะเรียกมาเคลียร์และถอนฟ้องกันให้จบ และให้เรื่องยุติไปเพราะเป็นตำรวจด้วยกันทั้งนั้น

 

สำหรับกรณี พล.ต.ต.นำเกียรติ ฟ้อง ผบ.ตร. นั้น ก็จะต้องถอนฟ้อง เพราะเมื่อคุยกันแล้ว ก็ต้องจบทั้งหมด เราเป็นตำรวจเราต้องมีวินัย เป็นนักเลงต้องชัดเจน ฉะนั้นเมื่อคุยกันจบทุกอย่างก็จบ เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับการเจรจา และการพูดคุย เมื่อเราไม่คุยกันก็ไม่เข้าใจกัน ไปฟังจากที่อื่นมา โดยย้ำว่าวันนี้ทุกคนต้องเป็นลูกน้อง ผบ.ตร. เพียงคนเดียว เมื่อ ผบ.ตร. จบทุกคนต้องหยุด

 

ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่าการแถลงข่าวในวันนี้ ไม่เกี่ยวกับเรื่องของการเปิดเส้นเงินใช่หรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุว่า ได้คุยกับ ผบ.ตร. ตั้งแต่เมื่อเช้า ไม่มีประเด็นไหนเลย มีเพียงประเด็นเดียวคือต้องการให้ความขัดแย้งภายใน ตร. ยุติ เพื่อให้เกิดความสามัคคี และไม่มีความเข้าใจที่เคลือบแคลง และเดินหน้าทำงานให้ประชาชนเพียงอย่างเดียว

 

ส่วนจะถอนฟ้อง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. ด้วยหรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยืนยันชัดเจนว่า เมื่อ ผบ.ตร. เรียกมาคุยแล้วทุกคนก็ต้องถอนหมด และเราจะเหลือไว้ให้เกิดความระแวงกันทำไม เพราะฉะนั้นทุกอย่างต้องจบ และขอให้ทุกคนไม่ต้องระแวง โดยมี ผบ.ตร.เป็นหลักประกันอยู่แล้ว

 

ขณะที่ลูกน้องทั้ง 8 คน ที่ถูกไปประจำที่ ศปก.ตร. ก็จะยังต้องประจำอยู่ที่เดิม และเมื่อไหร่ที่พิจารณาถึงที่สุดเสร็จว่าให้กลับมาก็ว่ากันไป แต่คดีก็ต้องว่ากันไปตามคดี ส่วนเรื่องที่ต้องเดินหน้าก็ต้องเดินหน้า หรือคดีที่อยู่ในการพิจารณาของ ป.ป.ช. เมื่อชี้แจงได้ เรื่องก็จะจบไปเอง

 

สำหรับกรณีที่ทีมทนาย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ และ พล.ต.ต.นำเกียรติ ออกมาเปิดตัวอักษรย่อนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบเห็นว่าไม่ได้ไปเอ่ยชื่อใคร ก็แปลว่าไม่มีตัวตน ส่วนไหนตรวจสอบเป็นคดีก็ว่าไป แต่องค์กรต้องเดินหน้าในการทำงาน เราพูดเรื่องขององค์กรเป็นหลัก

 

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวเสริมว่า ถ้าเอ่ยชื่อมาเต็มๆ ให้ชัดเจน แต่ในทางลับก็สั่งให้ตรวจสอบแล้ว แต่ยังไม่ได้เป็นคดี การที่ถามแบบนี้กำลังจะทำให้เป็นประเด็น ทำให้องค์กรแตกแยก และเป็นการด้อยค่าองค์กร พี่น้องประชาชนกำลังรออยู่ พร้อมตั้งคำถามว่า “พี่รักน้องทุกคน แล้วพวกน้องเคยรักองค์กรพี่ไหม เวลาที่เราจับยา ทำไมไม่มีใครมาถาม แต่กลับถามเรื่องแบบนี้ เพื่อด้อยค่าพวกพี่ พวกน้องไม่รักพี่เลยหรือ” และขอให้องค์กรนี้เป็นที่เชื่อมั่นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

 

จากนั้นผู้สื่อข่าวพยายามขอให้มีการแสดงความจริงใจรักใคร่กัน จึงทำให้เกิดเสียงหัวเราะในห้องแถลงข่าว ผบ.ตร. ตอบว่า เราไม่จำเป็นต้องมากอดกัน เพราะเคยบอกกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ว่า ความจริงใจ หากขาดจากตนไป หาจากคนอื่นไม่ได้เกินร้อยเท่าตน แม้แต่การเตือนให้ไปปฏิบัติธรรม หรือการลดอีโก้ลง รวมถึงการจะมีหนังสือต่างๆ ตนก็คุยกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ก่อน ไม่เคยคิดจะข้ามหัวข้ามห่างกันเลย ก่อนกล่าวติดตลกว่า ทีหลัง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็อย่าเรียกใครมา

 

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ย้ำอีกว่า เวลาเราแสดงสัญลักษณ์เหมือนเราขัดแย้งกัน การมานั่งแถลงพูดคุยกันแบบนี้ เราไม่มาพูดมุสา ลูกผู้ชายคำไหนคำนั้น ไม่มีอะไรติดใจ เราอยากให้ข้าราชการตำรวจทุกคนมั่นใจว่า “พี่รักลูกน้อง” และยืนยันว่าไม่ได้มีอะไรกันเลย

 

ในช่วงท้าย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวอีกว่า ตนอยู่ในสังคมตำรวจมา ซึ่งเห็นมาหลายครั้ง ที่นายทะเลาะกันไม่ใช่เพราะนาย แต่เป็นเพราะลูกน้อง ขออย่ามองที่ตัวนาย ขอให้มองภาพรวมขององค์กร สตช. คำว่า ข้าราชการ มาจาก ข้าในพระราชา ในการบำบัดทุกข์บำรงสุข ในสำนักงานตำรวจแห่งชาตินายตำรวจทุกคนเป็นลูกน้องตน แม้แต่ลูกน้องของพล.ต.อ. สุรเชษฐ์ จะโดนย้าย ตนก็เป็นคนสั่งไม่ให้ย้าย เพราะไม่ได้มีความผิดอะไร และปกป้องมาตลอด ทุกอย่างต้องยุติ กองเชียร์จะต้องเข้าใจสถานการณ์ หากยังทำตัวแบบนี้ จะเป็นการทำลายองค์กร ทุกอย่างมีกรรม และท่านกำลังทำกรรมสำนักตำรวจแห่งชาติ และเน้นย้ำให้ทุกฝ่ายต้องหยุด เพื่อองค์กรขับเคลื่อนต่อไปได้

 

ภายหลังการแถลงข่าว พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ และ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ ได้ลุกขึ้นถ่ายรูปร่วมกัน โดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ใช้มือโอบเอว ก่อนจะแยกย้ายกันไปปฏิบัติหน้าที่

 

นายกฯ แจงสั่งเด้ง 2 บิ๊ก ตร. ไม่ใช่การลงโทษ

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ภายหลังเซ็นคำสั่งให้พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เข้ามาช่วยที่สำนักนายกรัฐมนตรี และมอบหมายให้พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพชร รองผบ.ตร.รักษาการแทน ว่า อย่างที่ทราบว่า มีประเด็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการ เรื่องคดีความทั้งหลาย ซึ่งต้องให้กระบวนการยุติธรรมเดินไปได้ไม่มีการแทรกแซง แต่ต้องย้ำว่า ทั้ง 2 ท่านยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ แต่เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดิน เป็นไปได้ด้วยความสะดวก ดูแลประชาชนได้อย่างเต็มที่ ไม่มีการก้าวก่าย จึงมีการโอนทั้ง 2 ท่านมาช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรีชั่วคราว เป็นระยะเวลา 60 วัน เพื่อเปิดทางให้มีการตรวจสอบเรื่องที่มีข้อขัดแย้งทุกเรื่อง ทุกคดีที่มีการกล่าวโทษกัน ให้แล้วเสร็จ โดยภายในวันนี้ตนจะมีการลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงจำนวน 3 คน ทั้งนี้การแต่งตั้ง โอนย้ายมีผลทันที ซึ่งยืนยันว่าเป็นการย้ายชั่วคราว ไม่ได้เป็นการลงโทษ ทุกอย่างขั้นตอน เงินเดือนทุกอย่างยังเหมือนเดิม

 

เมื่อถามว่าคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงประกอบด้วยใครบ้าง นายกฯ กล่าวว่า เป็นตำรวจ เป็นอดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย และมาจากสำนักเลขาฯ ทั้งนี้การเรียกทั้ง 2 คน เข้ามาพูดคุยเมื่อช่วงเช้าก็เพื่อแจ้งเรื่องนี้ และอธิบายพูดคุยว่า จะปฏิบัติตัวอย่างไรในช่วงที่เข้ามาช่วยราชการ ซึ่งทั้ง 2 คน รับปากว่า จะพยายามไม่พูดอะไรอีกให้ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย ให้สืบทราบความจริง ให้กระบวนการยุติธรรมเดินไปข้างหน้าได้โดยไม่มีการแทรกแซง ไม่ให้ลูกน้องทั้ง 2 ฝ่ายออกมาพูดอะไรอีกแล้ว ซึ่งคิดว่าแต่ละท่านก็เป็นผู้ใหญ่พอแล้ว ท่านรู้ว่าควรจะพูด หรือไม่พูดอะไร ซึ่งก็มีการแถลงข่าวไปแล้ว

 

"ตอนนี้กระบวนการยุติธรรมเดินหน้าแล้ว อย่าให้มีการก้าวก่าย ล็อบบี้ดีกว่า และหลังการตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว ก็จะมีการพูดคุยเพื่อให้นโยบายต่อเลย ส่วนการหารือกระบวนการทำงานคณะกรรมการจะไปหารือกันเอง ผมไม่อยากแทรกแซงหรือชี้นำ"

 

เมื่อถามว่า มั่นใจหรือไม่ว่า ความขัดแย้งในแวดวงตำรวจจะเรียบร้อย นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนก็ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญทุกประการ ไม่ได้สบายใจที่ต้องทำอย่างนี้ แต่เป็นหน้าที่ที่เราต้องทำเพื่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะได้เดินไปข้างหน้าได้ มีหน้าที่ในการดูแลประชาชน และตนเชื่อว่าทุกอย่างจะค่อยๆ คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น กรรมการทั้ง 3 คน ซึ่งตนไม่อยากไปชี้นำอะไร แต่หากครบ 60 วัน ผลการพิจารณาออกมาแล้ว กระบวนการยุติธรรมเดินหน้าต่อไปได้โดยไม่มีการแทรกแซงก็จะพิจารณาโอนย้ายกลับมาได้

 

เมื่อถามว่า ตอนที่แจ้งเรื่องการเข้ามาช่วยราชการ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ มีท่าทีอย่างไรบ้าง นายเศรษฐา กล่าวว่า หลังจากแจ้งรายชื่อคณะกรรมการให้กับทั้ง 2 ท่านทราบ แน่นอนว่ามีความไม่สบายใจ แต่ทั้ง 2 ท่าน ก็ยอมรับและเห็นด้วยว่าคนที่จะมาเป็นกรรมการฯ นั้นมีความเป็นกลาง จึงยอมรับได้ สำหรับตนเองก็ไม่ได้มีธงว่า ต้องตัดสินออกมาเป็นอย่างไร วันนี้ต้องเอาประชาชนเป็นที่ตั้ง การทำงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่องข้าราชการชั้นผู้ใหญ่แถวสอง แถวสามที่อาจจะเข้าข้างใคร คนใดคนหนึ่งอาจจะทำให้การทำงานไม่เต็มสภาพ นี่คือสิ่งสำคัญมากกว่า ดังนั้นการเอาคู่ขัดแย้งมาช่วยราชการที่สำนักนายกฯ ทุกฝ่ายจะได้ทำงานได้อย่างเต็มที่ ปัญหาประชาชนสำคัญที่สุด อย่างเช่น บ่อนการพนัน หนี้สิน ฯลฯ

 

เมื่อถามว่า มีการพูดถึงนายพล ต. ทำไมถึงเจาะจงเป็นคนนี้ ไม่เป็นคนอื่น นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนไม่อยากไปพูดต่อ จะเป็นการก้าวก่ายกระบวนการยุติธรรม อย่างที่บอกไม่อยากให้ปรากฏชื่อพวกนี้ขึ้นมา อยากให้กระบวนการยุติธรรมเดินหน้าต่อไปได้ ไม่มีการแทรกแซงล็อบบี้เกิดขึ้น แบบนี้ดีกว่า เราทุกคนจะได้สบายใจว่ากระบวนการทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งตนไม่ได้สบายใจที่ทำแบบนี้ แต่ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเอาผู้ที่มีความขัดแย้งออกไปก่อน ให้กระบวนการยุติธรรมเดินต่อ ไปได้ และตนเชื่อว่าวันนี้ทุกคนเข้าใจว่า ทำไมถึงต้องมีวันนี้เกิดขึ้น

 

เมื่อถามถึงการประชุมสำนักงานตำรวจแห่งชาติในวันที่ 21 มี.ค.นี้ นายเศรษฐากล่าวว่า ตนได้เรียกประชุมกับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ , รักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, ผู้ช่วยฯ ผู้บัญชาการภาค และผู้บัญชาการทั้งหลายเพื่อชี้แจงนโยบาย แต่คงไม่มีการชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะเชื่อว่าสื่อเป็นกระบอกเสียงอยู่แล้ว ซึ่งตนก็พูดตรงไปตรงมาที่สุด เรามาอยู่ตรงนี้เพื่อดูแลประชาชน ไม่อยากให้ข้าราชการแถวสอง แถวสามต้องเข้าข้างฝ่ายใด

 

"ขอให้กระบวนการยุติธรรมเดินหน้าไปดีกว่า แล้วท่านทั้ง 2 ก็จะได้สบายใจว่า ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสืบสวน สอบสวนอะไร เพราะถูกโยกมาช่วยงานที่สำนักนายกฯ แล้ว ไม่มีใครกล่าวหาท่านได้ว่าแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ที่ผมทำแบบนี้ก็เพื่อปกป้องท่านทั้ง 2 ด้วย ยืนยืนว่าไม่ได้เป็นการลงโทษ ทั้ง 2 ท่านยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ เมื่อท่านผ่านการถูกตรวจสอบไม่มีมลทินแล้วก็จะสามารถกลับเข้ามาได้อย่างสง่างาม"

เด้งฟ้าผ่า "ต่อ-โจ๊ก" เข้าสำนักนายกฯ จบศึกสีกากี ตั้ง "บิ๊กต่าย" รักษาการ ผบ.ตร