จากกรณีวันที่ 30 ม.ค. 2567 พล.ต.ต.ภิรมย์ สวนทอง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดยโสธร ได้เดินทางไปที่สถานีตำรวจภูธรป่าติ้ว จังหวัดยโสธร เพื่อกำกับติดตามและควบคุมการสอบสวนคดีของเด็กนักเรียนหญิงวัย 17 ปี ที่เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน หลังถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจยศร้อยตำรวจเอกนายหนึ่ง คือ ร.ต.อ.กัมปนาท หรือผู้กองแอ๊ด ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจงานจราจรของ สภ.ป่าติ้ว ข่มขืนกระทำชำเรา หลังจากที่ถูกเรียกตรวจเนื่องจากไม่สวมหมวกกันน็อกและไม่มีใบอนุญาตขับขี่ โดยแจ้งค่าปรับจำนวน 2,000 บาท แต่เด็กไม่มีเงินจ่ายค่าปรับ



เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพาเด็กไปข่มขืนกระทำชำเราที่ห้องเก็บของของ กศน.อำเภอป่าติ้ว ซึ่งอยู่ข้างโรงพัก พร้อมกับได้ประสานทีมสหวิชาชีพเข้าสอบปากคำเด็กนักเรียนหญิง ผู้เสียหายให้ละเอียดอีกครั้ง ขณะที่ ร.ต.อ.กัมปนาท คนก่อเหตุ ขณะนี้พนักงานสอบสวนได้ควบคุมตัวเอาไว้แล้วอยู่ระหว่างการสอบสวน และเตรียมแจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบในวันเดียวกัน

ทีมข่าวได้ภาพกล้องวงจรปิดของศูนย์ กศน.อำเภอป่าติ้ว ซึ่งอยู่ห่างจาก สภ.ป่าติ้ว เพียง 500 เมตร โดยวันที่ 29 ม.ค. เวลา 10.25 น. จะเห็น ร.ต.อ.กัมปนาท ซึ่งอยู่ในชุดข้าราชการเดินนำหน้าเด็กนักเรียนหญิงผู้เสียหาย ออกมาจากด้านหลังของตึก กศน. ซึ่งคาดว่าหลังจากข่มขืนเสร็จแล้ว

ในคลิปจะสังเกตเห็นว่า เด็กนักเรียนหญิงผู้เสียหายเดินตามมาในลักษณะเอามือกุมท้องน้อยและค่อย ๆ เดินเหมือนได้รับบาดเจ็บ จากการถูก ร.ต.อ.กัมปนาท ล่วงละเมิด ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวนั้น คาดว่า ร.ต.อ.กัมปนาท พาเด็กนักเรียนหญิงผู้เสียหายไปส่งที่รถจักรยานยนต์



วันนี้ทีมข่าวลงพื้นที่ไปสำรวจห้องโถงที่อยู่ด้านหลังของศูนย์ กศน. ซึ่งเป็นจุดที่ ร.ต.อ.กัมปนาท ใช้ล่วงละเมิดเด็กนักเรียนหญิง พบภายในห้องดังกล่าวพบรอยเท้า ซึ่งคาดว่าเป็นรอยเท้าเด็กผู้เสียหาย

ทั้งนี้ หลังเด็กหญิงผู้เสียหายเข้าแจ้งความ ตำรวจ สภ.ป่าติ้ว ก็ได้ดำเนินการควบคุมตัว ร.ต.อ.กัมปนาท มาสอบปากคำ พร้อมกับแจ้งข้อหา 2 ข้อหา คือ ข้อหาพรากผู้เยาว์อายุเกินกว่า 15 ปี ไปเพื่อการอนาจาร และข้อหาข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย และมีคำสั่งให้ ร.ต.อ.กัมปนาท ออกจากราชการไว้ก่อน

ในขณะที่ตำรวจ สภ.ป่าติ้ว ควบคุมตัว ร.ต.อ.กัมปนาท ไปฝากขังต่อศาลจังหวัดยโสธร ทีมข่าวพยายามสอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ ร.ต.อ.กัมปนาท ปฏิเสธที่จะพูดถึงเหตุการณ์ที่ถูกกล่าวหา ตอบแค่เพียงว่า “ฝากขอโทษครอบครัวน้องเขา ฝากขอโทษตัวน้องเขา ฝากขอโทษประชาชนทั้งประเทศ และฝากขอโทษสำนักงานตำรวจแห่งชาติ” และเมื่อทีมข่าวพยายามถามย้ำถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถึงการลวงเด็กหญิงผู้เสียหายไปล่วงละเมิด ร.ต.อ.กัมปนาท ตอบแค่เพียงว่า “ขอให้การในชั้นศาล” ก่อนที่จะขึ้นรถตู้เพื่อนำตัวฝากขังต่อศาล



นอกจากนั้นวันนี้ทีมข่าวยังไปเจอ เด็กหญิงเฟื่องฟ้า (นามสมมติ) อายุ 13 ปี ซึ่งเป็นเด็กนักเรียนที่เคยถูก ร.ต.อ.กัมปนาท ทักแชตไปคุยเชิงชู้สาว เด็กหญิงเฟื่องฟ้า เล่าว่า สมัยที่ตนเองยังเรียนอยู่ ป.3 เคยมีโอกาสเจอกับ ร.ต.อ.กัมปนาท ตำรวจที่เป็นข่าวอยู่ตอนนี้ ซึ่งตอนนั้นเขาได้มีโอกาสมาสอนเรื่องยาเสพติดภายในโรงเรียนของตน ซึ่งเด็กนักเรียนจะเรียก ร.ต.อ.กัมปนาท ว่า ครูแด (เป็นชื่อเรียกคนที่ไม่ใช่ครูแต่มาสอนในโรงเรียน) โดยตอนนั้นตำรวจรายนี้ได้สอนนักเรียนชั้น ป.5 กับ ป.6 ซึ่งสมัยนั้นตนเองก็มีโอกาสได้เจอแต่ไม่ได้เคยพูดคุย จนกระทั่งเมื่อตนเองอยู่ ป.5 ตำรวจรายนี้ก็ได้มีการทักแชตมาหาตนซึ่งในช่วงแรกจะแชตให้ตนเองช่วยเขียนรายงานให้ แล้วจะให้เงินกับตนแต่เนื่องจากตอนนั้นตนเองติดธุระอยู่ที่ต่างจังหวัดเลยปฏิเสธไป

ต่อมา ตำรวจรายนี้ก็พยายามทักแชตมาในเชิงชู้สาวชวนตนเองคุย ว่าเล็งตนตั้งแต่อยู่ ป.3 ว่าตนน่ารักและอยากจะเข้ามาจีบแล้วตนมองยังไง รับได้หรือไม่หากจะคุยด้วย พอตนเองไม่เล่นด้วยก็บอกให้เก็บเรื่องทั้งหมดเป็นความลับและอย่าไปบอกใคร ซึ่งตอนนั้นตนเองก็ไม่ได้แจ้งครูหรือผู้ปกครองแต่แค่เล่าให้เพื่อนฟังเท่านั้น ซึ่งหากเรามองตำรวจคนนี้ภายนอกเขาก็ดูเป็นคนปกติทั่วไป



เด็กหญิงเฟื่องฟ้า ยังบอกอีกว่า ตนเองไม่เคยคิดมาก่อนว่าตำรวจรายนี้จะมาก่อเหตุแบบนี้ พอมารู้ข่าวก็ตกใจและคิดว่าต้องมีคนที่โดนคุกคามเหมือนกัน นอกเหนือจากตนและเด็ก 17 รายนั้น

โดยตัวอย่างแชตที่ ร.ต.อ.กัมปนาท ทักไปหาบอกว่า “เรื่องจริงครูแอบชอบมาตั้งแต่หนูอยู่ ป.3, คุยกันสองคนพอนะอย่าให้แชตหลุดไป, อยากจีบเด็กน้อยทำอย่างไรดี, คนสวยอย่าลืมลบแชตล่ะ และ คนสวย ตื่นหรือยัง เป็นต้น

ขณะที่ทีมข่าวลงพื้นที่ไปสำรวจห้องโถงที่อยู่ด้านหลังของศูนย์ กศน. ซึ่งเป็นจุดที่ ร.ต.อ.กัมปนาท ใช้ล่วงละเมิดเด็กนักเรียนหญิง ลักษณะห้องดังกล่าวเป็นห้องสีเหลี่ยมทรงผืนผ้า และประตูเข้าเป็นประตูไม้สถาพเก่า ภายในเป็นห้องโล่ง ๆ มีเพียงเก้าอี้ ถังสี และไม้ทาสี วางทิ้งไว้ภายในห้อง



นางปรีญานุชย์ อุ่นใจ รักษาการผู้อำนวยการ กศน.อำเภอป่าติ้ว บอกว่าวันที่เกิดเรื่องไม่มีครูอยู่ที่ กศน. เลย เนื่องจากไปทำกิจกรรมที่อื่นมีเพียงภารโรงอยู่หนึ่งคน และปกติห้องที่เกิดเหตุจะล็อกกุญแจเอาไว้ แต่ช่วงนี้ไม่ได้ล็อคเพราะอยู่ระหว่างให่ช่างมาปรับปรุงห้อง จึงเชื่อว่า ร.ต.อ.กัมปนาท คงเห็นว่าไม่มีคนอยู่ที่ กศน. จึงล่อลวงเด็กนักเรียนหญิงไปข่มขืนในห้องดังกล่าว ที่สำคัญเชื่อว่า ร.ต.อ.กัมปนาท น่าจะนำเก้าอี้พลาสติกสีเหลือง ที่ปกติแล้วอยู่ด้านนอกห้อง เข้าไปใช้ปฏิบัติภารกิจในการล่วงละเมิดเด็กในห้องดังกล่าวด้วย เนื่องจากปกติห้องนี้จะมีเพียงเก้าอี้พลาสติกสีน้ำเงินเท่านั้น

ทีมข่าวได้มีโอกาสพูดคุยกับ นายไมโล (นามสมมติ) อายุ15 ปี เพื่อนสนิทของเด็กนักเรียนผู้เสียหายที่ถูกตำรวจข่มขืน และเป็นคนแรกที่เด็กนักเรียนหญิงผู้เสียหาย โทร. มาเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังทั้งหมด

นายไมโลบอกว่า ตอนที่เพื่อนกำลังถูกตำรวจคนดังกล่าวล่อลวงนั้น เพื่อนพยายามโทร. หาตัวเอง แต่ตอนนั้นนายไมโลกำลังเตะฟุตบอลอยู่จึงไม่ได้รับสาย จนทำให้เพื่อนผู้หญิงที่ถูกข่มขืนส่งข้อความเสียงมาตำหนิ

พอได้ฟังข้อความเสียงที่เพื่อนสนิทส่งมาให้ จึงรีบโทร. กลับไปและรีบไปหาเพื่อนคนที่ถูกข่มขืนจนได้ทราบข้อเท็จจริงว่า เมื่อวานนี้เวลาประมาณ 09.00 น. เพื่อนได้ขี่รถจักรยานยนต์มาซื้อขนมจีบกับน้องสาว และได้มีการจอดรถจักรยานยนต์ไว้ที่เทศบาล ขณะที่กำลังเดินกลับก็มีตำรวจคนที่ก่อเหตุเข้ามาทัก บอกว่าเดินขาลากจึงได้เรียกไปคุย ตำรวจจึงถามว่าไปโรงเรียนยังไง เพื่อนจึงบอกว่าขี่รถจักรยานยนต์มา ตำรวจจึงบอกให้พาไปดูรถ โดยให้น้องสาวนั่งรออยู่ที่ด่าน พอไปถึงตำรวจก็บอกว่ารถคันนี้เป็นรถแต่ง ผิดกฎหมายและจะต้องเสียค่าปรับ 2,000 บาท



ก่อนพูดว่า "ไม่อยากมีแฟนเป็นตำรวจบ้างเหรอ พี่ยังไม่มีภรรยา เป็นแฟนตำรวจดีนะ หากว่าไม่มีเงินมาเสียค่าปรับ 2,000 บาท ก็จะไม่ได้รับรถคืน" เพื่อนจึงได้โทร. หาแม่แต่ติดต่อแม่ไม่ได้ตำรวจจึงบอกว่า ถ้าไม่มีเงินมาให้ต้องมีอะไรมาแลกเปลี่ยน จากนั้นตำรวจก็ถือกุญแจรถของเพื่อนแล้วเดินไปยังโกดังข้าง กศน. ร้าง ดังกล่าว หลังจากนั้นก็เรียกให้เพื่อนเข้าห้องก่อนจะปิดประตู
จากนั้นก็พยายามล่วงละเมิดทางเพศแต่ไม่สำเร็จ จึงให้สำเร็จความใคร่ด้วยปาก จากนั้นพอเสร็จกิจ ตำรวจก็บอกว่า "เราเป็นแฟนกันแล้วนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้โทร. หาใหม่" พร้อมกับยื่นเงินให้ 300 บาท และบอกว่าอย่านำเรื่องนี้ไปบอกใครหรือแจ้งตำรวจ จากนั้นก็พาเพื่อนออกมา

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนเองรับไม่ได้กับพฤติกรรมของตำรวจรายนี้ ที่เป็นผู้รักษากฎหมาย แต่กลับนำกฎหมายมาใช้ในทางที่ผิด ซึ่งตัวเองคิดว่าตำรวจนายนี้น่าจะมีพฤติกรรมลักษณะนี้อยู่บ่อยครั้ง ตอนนี้ตัวเองรู้สึกเป็นห่วงเพื่อนเพราะคนที่ก่อเหตุก็เป็นตำรวจ กลัวว่าจะไม่ได้รับความยุติธรรม เพราะตำรวจอาจจะช่วยตำรวจด้วยกันเองและอาจจะมาข่มขู่ ตัวเองเห็นพฤติกรรมของตำรวจเป็นแบบนี้แล้ว ก็ไม่รู้จะนิยามคำว่าอะไรดี



ด้าน จอนนี่มือปราบอินดี้ หรือ ดาบตำรวจยุทธพล ศรีสมพงษ์ ซึ่งเดินทางมาติดตามความคืบหน้าของคดีนี้ที่ สภ.ป่าติ้ว ตามคำสั่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้เป็นตัวแทนทีมโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกับตำรวจ สภ.ป่าติ้ว ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว

ซึ่งจอนนี่มือปราบ บอกว่า ตามข้อมูลในการให้ปากคำของ ร.ต.อ.กัมปนาท ระบุว่า หลังจาก ร.ต.อ.กัมปนาท เสร็จสิ้นภารกิจในการตั้งด่านตรวจตอนเช้าก็ไปเจอกับเหยื่อ จึงเรียกตรวจแล้วดำเนินการไปกระทำอนาจารกับเหยื่อ และได้มีโอกาสพูดคุยกับ ร.ต.อ.กัมปนาท ก็ยอมรับผิดว่าทำจริง และทำไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น ตอนนี้รู้สึกสำนึกผิดและฝากผ่านมือปราบจอนนี่ มาขอโทษทุกคนด้วย



ขณะที่ พล.ต.ท.เรวัช กลิ่นเกษร อดีตผู้บัญชาการปราบปรามยาเสพติด พูดถึงกรณีจอนนี่มือปราบ เป็นคณะทำงานทีมโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่า "จอนนี่มือปราบเข้าถึงประชาชน ซึ่ง ผบ.ตร. ต่อศักดิ์ ทำถูกแล้ว ก่อนหน้านี้ ผบ.ตร. ก็โทร. มาบ่นกับตนเหมือนกัน ว่าเดิมใช้โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้วมันยังไม่มีประสิทธิภาพ ประมาณว่าชี้แจงอะไรไป คนก็ไม่ฟัง
แต่จอนนี่มือปราบ คนติดตามเยอะ เป็น 10,000,000 ล้าน (นับรวมหลายช่องทาง แต่เฟซฯ ติดตาม 4.2 ล้านคน)



ทั้งนี้ ระเบียบจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังไม่สามารถดันให้จอนนี่เป็นโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เพราะเป็นแค่ดาบ ซึ่งระเบียบยังไม่เปิดและต่อให้จอนนี่จบปริญญาก็ไม่ได้เป็นนายตำรวจ และหากถึงเวลาเปิดสอบเลื่อนจากชั้นประทวนเป็นนายตำรวจ ตอนนั้นก็ช่วยกันไม่ได้ ซึ่งมองว่า น่าจะให้ ก.ตร. ออกกฎมาว่าใครที่ทำคุณประโยชน์เลื่อนขั้นได้ ซึ่งสมัยก่อนนั้นมีพลตำรวจเอกสมเพียร ที่ไปปราบปรามก็สามารถเลื่อนเป็นนายตำรวจได้ แต่สมัยนี้มันไม่มีระเบียบยังไม่เปิดไม่มีช่องทางเลย

ซึ่งปัจจุบันจอนนี่มีผลงานเยอะมากทั้งยูทูบและเฟซบุ๊ก ซึ่งถือว่าเป็นนายตำรวจชั้นประทวนที่มีคุณภาพสูงสุด ซึ่งความหมายนั้นไม่ใช่สูงเพราะวิสามัญคนร้ายเยอะ แต่จอนนี่เขาสามารถสื่อสารให้ประชาชนรับรู้การทำงานของตำรวจ และก็ทำให้ชาวบ้านรักตำรวจ อีกทั้งถ้าชาวบ้านไม่รักตำรวจคงไม่กดติดตามจอนนี่เยอะหรอก ตนมองว่าจริง ๆ น่าจะแต่งตั้งตำแหน่งให้จอนนี่เป็นคณะทำงานในทีมโฆษกตั้งนานแล้ว"