"กัน จอมพลัง" พาเมียทหารร้องกองทัพ หลังถูกสามีทำร้าย ซ้ำยังหนีไปมีกิ๊กเป็นทหารหญิงชั้นสัญญาบัตร

วันที่ 30 ม.ค.67 เวลา 10.00 น. ที่กองบัญชาการกองทัพไทย นายกันฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ กัน จอมพลัง พาภรรยาทหารพร้อม ลูกวัย 2 ขวบ จากจังหวัดศรีสะเกษ มาร้องขอความช่วยเหลือ หลังถูกสามีทหารทำร้ายเป็นประจำ ล่าสุดถูกทำร้ายต่อหน้าลูก เนื่องจากภรรยาจับได้ว่าสามีไปมีชู้เป็นทหารหญิงชั้นสัญญาบัตร และมีการปลอมแชตของภรรยาทักหาไปชู้ อ้างว่าภรรยาเป็นพี่เลี้ยงเด็ก หลังจากภรรยาได้ร้องเรียนที่หน่วยงานสังกัด สามีได้หยุดจ่ายค่าเลี้ยงดูลูก และอ้างว่าภรรยาทำให้ฝ่ายชายเสียหาย และถูกขู่ว่า ‘หากเอาสามีออกจากราชการทหาร ภรรยาต้องใช้หนี้ที่สามีไปกู้มาจำนวน 1 ล้านบาท ด้วย เพราะจดสมรสกัน‘ ซึ่งภรรยาไม่เคยรู้เลยว่าผู้ชายไปกู้เงินมา ตอนนี้ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือใด ๆ จากหน่วยงาน จึงมาร้องขอความช่วยเหลือ ที่กองบัญชาการกองทัพไทย ถ.แจ้งวัฒนะ

โดยกัน จอมพลัง บอกว่า ภรรยาร้องมาที่ตนตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม 66 ตนได้ให้คำแนะนำไปก่อนว่าให้ร้องทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อน วันที่ 2 มกราคม 67 ภรรยาจึงเข้าไปร้องต่อหน่วยงาน กระทั่งวันนี้ 30 มกราคม 67 ก็ยังไม่มีข้อสรุปใด ๆ แต่มีการนัดเจรจาพูดคุย จึงประสานมาทางตนเองอีกครั้งหนึ่งเพราะเกร็งไม่ได้รับความเป็นธรรมและความโปร่งใส เนื่องจากภรรยาเคยถูกสามีทำร้ายหลังจากจับได้ว่ามีชู้ เป็นทหารชั้นสัญญาบัตร ซึ่งภรรยาเคยแจ้งทางฝ่ายหญิงไปแล้วว่าสามีมีภรรยาอยู่ แต่ก็ยังปรากฏภาพการไปเที่ยวด้วยกันและมีความสัมพันธ์ด้วยกัน ล่าสุดทั้งสองคนก็ไปร่วมงานแต่งด้วยกัน มีรูปควงแขนด้วยกันต่าง ๆ นานา รวมถึงในคลิปเสียงที่ชู้ได้ติดต่อมาทางตัวเองพร้อมขอโทษด้วย

นอกจากนี้ ก็ไม่สบายใจเรื่องที่ฝ่ายชายได้ปลอมแปลงแชตภรรยา เพื่อไปคุยกับชู้ บอกว่าภรรยาที่อยู่ในบ้าน ความจริงแล้วเป็นพี่เลี้ยงเด็ก เป็นห่วงเรื่องลูกวัยสองขวบ และสวัสดิภาพค่าใช้จ่ายต่างๆของเด็ก ที่สามีหยุดจ่ายค่าเลี้ยงดูด้วย ในส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายและเลี้ยง หากยังไม่มีความคืบหน้าใดตัวเองจะช่วยเหลือไปก่อนเบื้องต้น ในส่วนที่พอช่วยเหลือได้

ขณะที่ นางสาวเอ (นามสมมติ) อายุ 40 ปี ภรรยาที่ร้องเรียน เล่าว่า ตัวเองคบกับสามีมา ปัจจุบันเป็นปีที่ 13 แต่เพิ่งแต่งงานกันเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา ส่วนชู้ฝ่ายหญิง พบว่าคบกับสามีมาประมาณหนึ่งปี ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ตนคบกับสามีก่อนแต่งงาน หลังจากนั้นพลเมืองดีพยายามหาช่องทางการติดต่อกับตัวเอง เพื่อติดต่อมาบอกตัวเองว่าเห็นสามีและฝ่ายหญิงลงรูปคู่กันผ่านโซเชียล พร้อมกับไปบอกกับชู้ฝ่ายหญิงว่า ฝ่ายชายมีภรรยาแล้ว พลเมืองดีพยายามหาเบอร์ติดต่อตนเอง เพราะตนเองทำขนมขาย และทำขนมเป็นของว่างบริการให้ในหลักสูตรที่สามีและชู้เข้าอบรมด้วย มีสติกเกอร์แปะอยู่หน้ากล่องขนม แต่ไม่มีเบอร์โทรศัพท์เนื่องจากสามีไม่ให้ใส่เบอร์โทรศัพท์เอาไว้ โดยไม่ทราบเหตุผล

หลังจากนั้น นางสาวเอได้ไปพูดคุยกับชู้ฝ่ายหญิง เพื่อขอให้เล่าความจริงหรือออกมาเคลียร์กัน หากถูกสามีตัวเองหลอก จะได้คุยกันในฐานะผู้หญิงด้วยกัน ครั้งแรกที่ทักไปคุยด้วย ชู้ฝ่ายหญิงได้ขอดูรูปแต่งงานและทะเบียนสมรส เธอจึงส่งรูปแต่งงานไปให้ หลังจากนั้นก็ชู้ฝ่ายหญิงเริ่มเงียบหาย พอเดือนต่อมา(ก.ย.66) ทักไปอีกครั้ง ชู้ฝ่ายหญิงก็เงียบอีก

จนกระทั่งวันที่ 13 มกราคม 2567 ฝ่ายหญิงได้โทรศัพท์มาขอโทษหลังจากได้รับหมายศาลที่เธอฟ้องไป พร้อมบอกนางสาวเอว่า มีหลักฐานที่สามีได้โกหกว่านางสาวเอไม่ใช่ภรรยา แต่เป็นแม่บ้านและพี่เลี้ยงเด็ก คอยทำขนมและเลี้ยงเด็กอยู่ที่บ้าน

ทั้งนี้ ส่วนตัวมองว่า หลังจากชู้ฝ่ายหญิงรับทราบว่าสามีมีภรรยาแล้ว ต้องไม่ทำตัวมักง่าย และต้องตรวจสอบว่ามีภรรยาอยู่จริงหรือไม่ ที่ผ่านมาเคยคุยกับสามีถึงเรื่องดังกล่าว สามีอ้างว่าได้เลิกกับชู้แล้ว และอยากกลับมาเป็นครอบครัวเหมือนเดิม ซึ่งตนเองก็ให้โอกาสอีกครั้ง เพราะเห็นใจลูก

โดยสามีรู้จักกับชู้ จากการอบรมหลักสูตรเดียวกัน ยอมรับว่ารู้สึกอายเพราะวันแต่งงานเชิญผู้หลักผู้ใหญ่ไปร่วมงานเยอะ รวมถึงชาวบ้าน แต่มาวันนี้ต้องหอบข้าวของออกมา “ไม่รักก็คือไม่รัก ไม่จำเป็นต้องหลอกและทำให้อับอายแบบนี้” ต้องอับอายที่สามีไปมีชู้

ผู้เสียหายพูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า ในวันนี้ มาร้องเพราะรู้สึกเคว้งคว้างและไม่มีใครอยู่ข้างข้าง ไม่มีเงินเลี้ยงลูก ไม่มีเงินฟ้องศาล หลังจากสามีหยุดจ่ายค่าดูแลลูก และไม่คิดช่วยเหลือใด ๆ ตัวเองต้องพบเจอกับความลำบากอยู่คนเดียว ที่ผ่านมาสามีเป็นทุกอย่างของเธอ บอกให้เธอออกจากงานเพื่อดูแลลูก ส่วนสามีจะทำงานหาเงินเอง ซึ่งเธอก็มีอาชีพคือทำขนม และได้ทำขนมบริการให้กับหลักสูตรที่สามีและชู้ไปอบรมด้วย

ที่ผ่านมาสามีเคยทำร้ายร่างกาย หลังเธอจับได้ว่าสามีมีชู้ โดยวันเกิดเหตุวันที่ 28 ธันวาคม 67 เธอทราบมาว่าสามีเลิกงานตอนเที่ยง จึงพาลูกวัย 2 ขวบ ไปรอสามีที่แฟลตทหาร เพื่อรอว่าสามีจะกลับมากี่โมง พอมาถึงไม่เจอสามี จึงโทรศัพท์หากว่า 30 สาย ไม่มีการติดต่อกลับ กระทั่งเวลา 17:00 น. สามีติดต่อกลับมา อ้างว่าป่วย และนอนซมอยู่ในห้อง เธอจึงได้โกหกสามีต่อว่าเธออยู่ที่จังหวัดศรีสะเกษ

ซึ่งสามีกลับมาอีกครั้งเวลาประมาณหนึ่งทุ่ม พอเข้ามาก็ตกใจที่เจอเธอกับลูก สามีโมโห เข้ามาคว้าลูกเตรียมจะเหวี่ยง แต่ตัวเองได้วิ่งเข้าไปโอบกอดลูกเอาไว้ และถูกสามีทุบ ๆ หลังเธอ เอามืออุดปากตัวเอง ทำให้ร้องแล้วคนในแฟลตไม่ได้ยิน จึงเริ่มร้องเสียงดังขึ้น และไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้านในแฟลต เพื่อนบ้านจึงได้ถ่ายคลิปวิดีโอเอาไว้ ซึ่งเป็นเหตุการณ์หลังจากที่ตัวเองถูกทำร้ายในห้อง / หลังจากนั้นได้ช่วยเหลือ ออกค่าโรงแรมในละแวกให้พักก่อน เพราะไม่อยากให้อยู่ในห้องกลัวไม่ปลอดภัย

นอกจากนี้ยังมีในส่วนเงินจำนวนหนึ่งล้านบาทที่สามีไปกู้มา ตนเองไม่ทราบว่าสามีไปกู้เงินอะไรมาแล้วกู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ สามีบอกว่าหากทำให้ออกจากราชการจะต้องช่วยชำระค่ากู้เงินเพราะจดทะเบียนสมรสกัน

ทั้งนี้ อยากให้ช่วยเหลือ เพราะตนเองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกู้เงินของสามี และอยากฟ้องชู้ พร้อมเรียกค่าเลี้ยงดูจากสามี

ภายหลังเข้าพูดคุยกันนานกว่า 3 ชั่วโมง กัน จอมพลัง ออกมาเปิดเผยว่า ภายหลังเข้าพูดคุยน้องได้ให้ข้อมูลและถ้อยคำต่างๆ ซึ่งทางคณะกรรมการได้ทำการสอบตัวน้องก่อน และจะเรียกฝ่ายชายและผู้ที่เกี่ยวข้องมาสอบภายหลัง สิ่งที่กังวนตอนนี้คือเรื่องของเวลามันช้ามากคนมี่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือตัวน้องส่วนนี้ต้องฝากทางกองทัพไทยดูในเรื่องของเวลา จริงแล้วผู้ใหญ่จะมีปัญหาอะไรกันเด็กไม่ควรมาอยู่ในสมการของความขัดแย้ง ระหว่างนี้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นผลสอบจะออกมาอย่างไรก็แล้วแต่ในส่วนของเงินเดือนฝากให้กองทัพไทยดูอาจจะต้องหักเงินเดือนฝ่ายชายเดือนละ 5,000 เพื่อมาเป็นค่าใช้จ่ายของเด็ก ส่วนรายละเอียดอื่นๆ เงินลงทุนในอนาคต ค่าสินสอดที่พึงจะได้ส่วนนี้ได้ลงรายละเอียดไปแล้ว ส่วนขบวนการในการตั้งคณะกรรมการสอบสวนนั้นส่งนนี้ก็ต้องให้ทางกองทัพไทยช่วยดู วันนี้น้องมาอยู่กับผม 1 วันผมต้องดูแลค่ากินค่าอยู่แต่อยากจะถามว่ามันเป็นหน้าที่ของผมหรือเป็นหน้าที่ของพ่อ