อธิบดีกรมราชทัณฑ์เซ็นคำสั่งให้ 3 ผู้คุมเสี่ยแป้ง ออกจากราชการ และให้สอบข้อเท็จจริง ผบ. เรือนจำกลางนครศรีธรรมราช - ผอ.ส่วนควบคุมฯ

จากกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองนครศรีธรรมราช ได้รวบรวมพยานหลักฐานขอศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 8 ออกหมายจับเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ เรือนจำกลางนครศรีธรรมราช ทั้งหมด 3 ราย ได้แก่ นายวรินทร ทองประจง (ผู้คุมผลัดบ่าย) นายเอกลักษณ์ ไชยกาญจน์ (ผู้คุมผลัดบ่าย) และนายวีระชัย หนูด้วง (ผู้คุมผลัดเช้า) ฐานความผิดเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และเป็นเจ้าพนักงานมีตำแหน่งหน้าที่ควบคุมดูแลผู้ที่ต้องคุมขังตามอำนาจศาล ซึ่งเป็นบุคคลต้องคำพิพากษาของศาลให้ลงโทษจำคุกตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป ร่วมกันกระทำด้วยประการใดๆให้ผู้ที่อยู่ระหว่างคุมขัง หลุดพ้นจากการคุมขังไป

โดยผู้คุมราชทัณฑ์ทั้ง 3 รายดังกล่าวได้มีพฤติการณ์ปล่อยปละละเลยในการควบคุมดูแลนักโทษรายสำคัญ คือ นายเชาวลิต ทองด้วง หรือเสี่ยแป้ง นาโหนด จนเป็นเหตุให้เสี่ยแป้งหลบหนีออกจาก รพ.มหาราชนครศรีธรรมราช ช่วงกลางดึก เวลา 01.00 น. วันที่ 22 ต.ค. ที่ผ่านมา

วันนี้ 7 พ.ย. 2566 นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม รักษาราชการแทนอธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาตามมาตรา 157 และในส่วนของกรมราชทัณฑ์ คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงก็ได้ดำเนินการตรวจสอบประเด็นต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ตนจึงได้มีคำสั่งลงนามให้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ทั้ง 3 รายที่ถูกศาลออกหมายจับ ออกจากราชการไว้ก่อน และเมื่อมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามหลักการ ก็จะต้องตั้งคณะกรรมการเพื่อสอบสวนวินัยร้ายแรงควบคู่ไปด้วย ซึ่งการสอบสวนวินัยร้ายแรงก็เพื่อพิจารณาเป็นคำสั่งไล่ออกจากราชการ แต่ในส่วนของผู้บัญชาการเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช (นายณรงค์ หนูคง) และผู้อำนวยการส่วนควบคุมของเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช (นายพูชนะ หิรัญรัตน์) รวม 2 ราย ซึ่งได้ถูกสั่งให้ไปปฏิบัติราชการอยู่ที่กรมราชทัณฑ์ จ.นนทบุรี ก่อนหน้านี้ ก็จะถูกตรวจสอบจากคณะกรรมการฯ เช่นเดียวกัน แต่เบื้องต้นทั้งคู่ยังไม่ได้ถูกตำรวจออกหมาย จึงยังคงปฏิบัติราชการอยู่ที่กรมราชทัณฑ์

สำหรับการสอบข้อเท็จจริงของคณะกรรมการ นายสหการณ์ ระบุว่า คณะกรรมการจะดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติมให้ครบทุกประเด็น เพราะไม่ได้มองเพียงผู้คุมราชทัณฑ์แค่ 4 ราย (เวรผลัดเช้า 2 ราย เวรผลัดบ่าย 2 ราย) ที่ได้รับหน้าที่ให้ดูแลผู้ต้องขัง แต่จะต้องตรวจสอบให้ครอบคลุมถึงผู้ที่มีบทบาทเกี่ยวข้องทั้งหมด แต่ตอนนี้ตนเพิ่งได้รับรายงานการสอบข้อเท็จจริง ซึ่งจะมีรายละเอียดเชิงลึกหลายประเด็น จึงขอเรียนว่า รายงานการสอบสวนจะไม่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณะได้ทั้งหมด เพราะอาจเป็นการให้คุณหรือเป็นการชี้ช่องทางต่อผู้ที่มีส่วนกระทำความผิดได้ และคณะกรรมการจะต้องรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อนำมาใช้ในการขยายความถึงสิ่งที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ถูกกล่าวหา และบางส่วนอาจจะใช้ในการมัดตัวต่อพฤติการณ์ความผิด อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการจะไม่มีการตัดประเด็นใดที่สังคมเคลือบแคลงใจสงสัยทิ้งไปเด็ดขาด เพราะการสอบสวนในเรื่องของความผิดวินัยร้ายแรงจะเป็นการตรวจสอบรายละเอียดเชิงลึกมากขึ้น ดังนั้น หากเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์รายใดที่เข้าข่ายว่าเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดกับกลุ่มผู้ต้องหาทั้ง 7 รายที่ให้การช่วยเหลือผู้ต้องขัง หรือพบพยานหลักฐานว่ามีพฤติการณ์ไปติดต่อกับบางผู้ต้องหาเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อการหลบหนีของผู้ต้องขัง ก็จะมีความผิดในเรื่องของวินัยร้ายแรงและนำไปสู่การไล่ออกจากราชการ

เมื่อถามถึงกรณีที่สังคมตั้งข้อสงสัยว่า เหตุใดผู้คุมราชทัณฑ์อีก 1 ราย ซึ่งอยู่ในเวรผลัดเช้าของวันเกิดเหตุร่วมกับนายวีระชัย หนูด้วง จึงยังไม่ถูกคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน นายสหการณ์ เผยว่า ในประเด็นดังกล่าวจะเป็นดุลพินิจและอำนาจการตรวจสอบของพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครศรีธรรมราช เพราะเจ้าหน้าที่จะต้องดูพฤติการณ์ และพิจารณาควบคู่ไปกับพยานหลักฐานจึงจะมีการแจ้งข้อกล่าวหาในมาตรา 157 เหมือนกับเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ 3 รายก่อนหน้านี้ แต่ตนได้รับทราบว่าผู้คุมผลัดเช้าทั้ง 2 รายก็ปฏิบัติหน้าที่อยู่ด้วยกัน แต่ข้อเท็จจริงที่ต้องพิจารณา คือ ผู้คุมราชทัณฑ์รายนี้ไปมีส่วนเกี่ยวข้อง หรือได้ไปกระทำสิ่งใดจนเป็นเหตุให้พนักงานสอบสวนเชื่อได้ว่ามีการปล่อยปละละเลยเหมือนกับเจ้าหน้าที่ 3 รายก่อนหน้าหรือไม่

นายสหการณ์ เผยอีกว่า สำหรับผลการสอบปากคำทั้ง 3 เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ของเจ้าที่ตำรวจ สภ.เมืองนครศรีธรรมราช จะไม่ได้มีการรายงานมายังราชทัณฑ์แต่อย่างใด เพราะว่าเป็นรายละเอียดในสำนวนคดี เว้นแต่ว่าทางคณะกรรมการได้มีการตรวจสอบในประเด็นใดแล้วต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม จึงจะประสานขอรายละเอียดบางส่วนไป แต่ก็จะต้องได้รับการพิจารณาจากพนักงานสอบสวนว่าจะสามารถเปิดเผยเนื้อหารายละเอียดภายในสำนวนได้หรือไม่ และขอยืนยันว่าราชทัณฑ์ยังคงเร่งรัดตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด และไม่มีการให้ความช่วยเหลือต่อบุคคลในองค์กร หากผิดจริงก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย เพราะการปล่อยให้ผู้ต้องขังรายสำคัญหลบหนีไปได้เช่นนี้ ก็เป็นความผิดอันบกพร่องต่อหน้าที่แล้ว