จากกรณีที่มีผู้ร้องเรียนผ่านเพจจ่าคิงส์แตงทิม สะพานใหม่ ว่าตัวเองโดนสามีเก่าและผู้ใหญ่บ้านรวมหัวกันแจ้งตาย มีใบมรณะเพื่อจะเอาเงินค่าทำศพกับโรงงานที่ภรรยาทำงานอยู่ พอภรรยารู้ก็ไปบอกบริษัทว่ายังไม่ตาย แล้วให้สามีไปถอนแต่สามีโกรธไม่ยอมถอนแจ้ง เป็นเวลาผ่านมา 33 ปีแล้ว ไม่มีบัตรประชาชน ไม่มีสิทธิต่างๆ เกิดอุบัติเหตุก็รักษาตัวไม่ได้ทั้งที่เป็นคนไทยแท้ๆ พ่อแม่ก็ยังอยู่ น้อยใจคนไทยใหญ่ยังมีบัตรประชาชนแต่เราเคยมีบัตรแล้วแต่ทำไรไม่ได้เลยขอร้อ'ขอความเป็นธรรมด้วย

 

ล่าสุดทีมข่าวช่อง8 ได้เดินทางมายังซอยพหลโยธิน 52 ที่ทำการของนายธมนันท์ แตงทิม หรือ “จ่าคิงส์ สะพานใหม่" โดยจ่าคิงส์ ได้นัดผู้เสียหายคือนางหน่อย พัชรินทร์ แจ่มสว่าง อายุ 55 ปี ที่ต้องอยู่แบบไม่มีบัตรประชาชนมา 33 ปี โดยนางหน่อยได้เปิดใจกับทีมข่าวช่อง8 ว่า เมื่อช่วงปี 2533 ตนและอดีตสามีทำงานอยู่ที่บริษัทไทย-อเมริกัน เป็นโรงงานทอผ้า ย่านคลองหลวง ปทุมธานี โดยบริษัทแห่งนี้หากมีพนักงานเสียชีวิต ทางบริษัทก็จะเรี่ยไรเงินจากพนักงาน ให้ได้จำนวนประมาณ 2 แสนบาท เพื่อมาช่วยงานศพของพนักงานที่เสียชีวิต ซึ่งอดีตสามีของตนก็มาถามตนว่าอยากมีเงินใช้ไหม ตนก็ตอบกลับไปว่าอยากสิ ใครจะไม่อยากมีเงินใช้ล่ะ แล้วตนก็ถามต่อว่าแล้วจะเงินมาจากไหน อดีตสามีก็ตอบกลับมาว่า เดี๋ยวหามาให้เองแหละ แล้วอดีตสามีก็บอกกับตนต่อว่า ขอให้ตนนั้นลางานไปพักผ่อนสัก 3 วัน ตนก็ทำตาม

 

จากนั้นพี่สาวของอดีตสามีที่ทำงานในบริษัทแห่งนี้ด้วย ก็เห็นว่ามีป้ายประกาศของบริษัทว่าตนนั้นได้เสียชีวิต และกำลังจะมีการเรี่ยไรเงินช่วยเหลือกัน ซึ่งพี่สาวอดีตสามีก็ไปแจ้งกับฝ่ายบุคคลว่าตนนั้นยังไม่ได้ตาย โดยตนคาดว่าอดีตสามีของตนน่าจะรวมหัวกับเพื่อนที่ทำงานซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านอยู่ที่อยุธยา เอาชื่อของตนไปแจ้งตายเพื่อที่จะได้เงินจากการเรี่ยไรบริษัทมาแบ่งกันใช้ โดยการแจ้งตายนั้น ทางผู้ใหญ่ได้ย้ายชื่อตนไปอยู่บ้านตัวเอง แล้วก็แจ้งตายในพื้นที่ที่ตัวเองรับผิดชอบ ซึ่งพอเรื่องแดงขึ้นทางบริษัทก็รับทราบไปแล้วว่าตนไม่ได้ตาย ก็ไม่ได้มีการรับเงินไปแบ่งกันระหว่างอดีตสามีกับผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งหลังจากนั้นตนก็ขอให้อดีตสามีไปแจ้งต่ออำเภอว่าตนยังไม่ได้ตาย แต่อดีตสามีก็พลัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยจนกระทั่งเลิกลากันไปก็ยังไม่ได้ไปแจ้งให้

 

หลังจากนั้นตนก็พยามจะไปยื่นเรื่องที่อำเภอด้วยตนเอง โดยไปหาหลักฐานต่างๆเช่น รูปหน้าบัตรประชาชน ทะเบียนราษฎร์ หรือให้แม่ไปยืนยันว่าตนยังไม่ตาย ฯลฯ แล้วก็ไปแจ้งกับอำเภอว่าตนนั้นยังมีชีวิตอยู่ยังไม่ได้ตาย แต่เมื่อขึ้นอำเภอไปก็ไม่คือเชื่อ มีการตะคอกใส่ตนไม่ยอมให้การช่วยเหลือ อีกทั้งบางคนยังขอเงินใต้โต๊ะก่อนจะทำเรื่องให้ด้วย ทำให้พอเป็นเช่นนี้ตนก็ไม่อยากจะสู้ต่อเพื่อทวงสิทธิ์ตนเองแล้ว ก็เลยยอมใช้ชีวิตมาแบบไร้บัตรประชาชนมา 33 ปี สิทธิต่างๆที่ประชาชนคนไทยควรพึงมีก็ไม่เคยได้รับ ทั้งการรักษาพยาบาล ก็ต้องซื้อยากินเอง การเลือกตั้งต่างๆเกิดมาก็ไม่เคยไปเลือกกับเขา ตอนนี้หมดหนทางแล้วจึงอยากให้หน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือตนด้วย

 

จากนั้นทีมข่าวช่อง 8 จึงได้เข้าไปพูดคุยกับ นายเตี้ย (นามสมมติ) อายุ 60 ปี ซึ่งเป็นสามีของนางพัชรินทร์ เพื่อถามถึงปมดังกล่าวว่าตกลงแล้วนายเตี้ยได้แจ้งเมียตายทิพย์จริงหรือเปล่า  โดยนายเตี้ยเปิดใจกับทีมข่าวช่อง 8 ว่า ตนกับนางพัชรินทร์ อยู่กินกันมาฉันสามีภรรยาตั้งแต่ปี 2529 ซึ่งตอนนั้นความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ราบรื่นดี ทั้งคู่ทำงานอยู่ที่เดียวกันในบริษัทหนึ่งย่านรังสิต แต่หลังจากนั้นไม่กี่ปี ตนก็ได้รู้จักกับ "นายเล็ก" (อดีตผู้ใหญ่บ้าน) ซึ่งนายเล็กก็ได้ทำงานอยู่ในบริษัทเดียวกันและควบคู่ไปกับตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านใน จ.พระนครศรีอยุธยา อยู่มาวันหนึ่ง นายเล็กก็ได้เข้ามาหาตนและบอกว่า "รู้ไหม ถ้าคนในบริษัทเสียชีวิต บริษัทจะให้เงิน 2 แสน" พร้อมกับบอกว่า นายเล็กนั้นสามารถออกใบมรณะให้กับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ได้  ตอนนั้นตนก็ไม่เชื่อและมองว่านายเล็กนั้นโอ้อวดจึงได้มีการพูดท้าทายออกไปว่า "เป็นไปไม่ได้หรอก อย่ามาหลอกกันเลย ถ้าทำได้ก็ทำมาให้ดูหน่อย" หลังจากนั้นไม่กี่วันนายเล็ก (อดีตผู้ใหญ่บ้าน) ก็ได้กลับมาพร้อมเอกสารกองโต เมื่อเปิดดูเอกสารตนก็ถึงกับตกใจ เพราะเอกสารทุกอย่างทุกเตรียมไว้เสร็จสรรพเหลือเพียงลงลายมือชื่อก็เท่านั้น โดยเอกสารดังกล่าวได้ระบุไว้ว่า นางพัชรินทร์ได้เสียชีวิตแล้ว โดยไปเสียชีวิตที่บ้านของผู้ใหญ่เล็ก ซึ่งตอนนั้นตนก็ยังคิดว่าทั้งหมดเป็นแค่เรื่องขำ ๆ คงเอาไปใช้จริงไม่ได้หรอก เพราะคน ๆ หนึ่งจะเสียชีวิต มันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ใครเขาจะเชื่อ ไหนจะงานศพ ไหนจะครอบครัวคนรู้จักอีก ตอนนั้นนายเตี้ย  จึงยอมเซ็นลายมือชื่อรับรองไปในเอกสาร ส่วนหลังจากนั้นนายเล็ก ก็ได้เก็บเอกสารทั้งหมดไป โดยที่ตนก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น

 

จนหลายปีผ่านไป จู่ ๆ ภรรยาของตนก็มาโวยวาย เพราะนางพัชรินทร์ไปทราบมาว่า นายเตี้ย ได้ไปแจ้งตายให้กับเธอ ตอนนั้นนายเตี้ยก็ตกใจเข้าไปอีก ไม่คิดว่าเอกสารที่เซ็นขำ ๆ ในตอนนั้นจะมีผลจริง ตนจึงพาภรรยาไปถอนแจ้งตายที่อำเภอ เมื่อไปถึงอำเภอ ตนก็บังเอิญไปเจอกับนายเล็กอีกครั้ง ตอนนั้นนายเล็กก็ได้เข้ามาต่อว่าตน "มึงอย่ามาทำให้กูลำบากนะ" ตอนนั้นตนก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าเรื่องมันเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อไปถอนแจ้งความ ปรากฏว่าทางอำเภอเขาไม่ดำเนินการให้ และหลังจากนั้นตนก็ไม่ได้ไปที่อำเภออีกเลย เพราะตนต้องมาทำงานไกลบ้านเพื่อหาเงินส่งกลับไปให้ครอบครัว บวกกับที่ตนกลัวว่าจะบังเอิญไปเจอนายเล็กอีก เพราะไม่รู้ว่านายเล็กคิดอะไรอยู่ ไม่รู้ว่าเขาจะเล่นงานตนไหม

 

ส่วนทางด้านของนายเล็ก (อดีตผู้ใหญ่บ้าน) ที่ออกมาบอกว่าเขานั้นไม่รู้เรื่องและปฏิเสธทุกอย่าง วันนี้ต้นจึงอยากถามกลับไปว่า ถ้านายเล็กไม่รู้เรื่องแล้วทำไมชื่อของภรรยาตน จึงไปโผล่ในทะเบียนบ้านของนายเล็ก และตนยืนยันว่าไม่เคยไปข้องเกี่ยวหรืออยู่อาศัยในจังหวัดอยุธยา แต่ทำไมเอกสารการตายจึงถูกแจ้งในจังหวัดนั้น ณ วันนี้ นายเตี้ยนั้นไม่ขอถือโทษและโกรธใคร มองว่าทุกอย่างคงเป็นเวรกรรมของตน และตน ก็จะขอชดใช้ด้วยการดูแลครอบครัว ถึงแม้ว่าครอบครัวจะไม่ให้อภัยหรือไม่ยอมรับในตัวของนายเตี้ยอีก นายเตี้ยก็ยังยืนยันที่จะส่งเสียและดูแลครอบครัวแบบนี้ตลอดไป

สาวแฉผัวแจ้งเมียตาย ถูกตัดสิทธิ์ 33 ปี พ้ออำเภอไม่เชื่อตัวจริง ผัวโต้กลับโบ้ยผิดผู้ใหญ่บ้าน