จากกรณี ร้านดังโพสต์ภาพชี้แจงว่าทางแบรนด์ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าแล้ว ทั้งยังเผยว่าผ่านการจดทะเบียนลิขสิทธิ์ และจดทะเบียนสิทธิบัตรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมย้ำว่า สงวนสิทธิ์ห้ามลอกเลียนแบบ ทำซ้ำ ดัดแปลง แก้ไข และสงวนสิทธิ์ห้ามนำชื่อแบรนด์ที่มีข้อความว่า ‘ปังชา’ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ไปใช้เป็นชื่อร้านหรือใช้เป็นชื่อสินค้าเพื่อจำหน่าย

ล่าสุดเมื่อวานนี้ (29 ส.ค. 66) เวลาประมาณ 17.30 น. ทางร้านดังก็ออกมาโพสต์ผ่านเพจ Facebook ‘Lukkaithong – ลูกไก่ทอง Thai Royal Restaurant’ โดยโพสต์ภาพและเขียนแคปชั่นว่า “ประกาศชี้แจงจากร้านอาหารลูกไก่ทองและร้านปังชา”

“ร้านอาหารลูกไก่ทอง และ ร้านปังชา ขอประกาศขอชี้แจงถึงกรณีข้อความในโพสต์ที่ได้มีการโพสต์ผ่านทางโซเชียลมีเดียของทางร้าน ทางร้านขออภัยที่มีการสื่อสารและทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน

ทางร้านน้อมรับทุกคำติชม คำแนะนำ และจะปรับปรุง พัฒนาทั้งในการสื่อสาร การบริการ สินค้า ต่อไป  ขอขอบคุณกรมทรัพย์สินทางปัญญาที่ได้ให้ข้อมูลและหาแนวทางร่วมกันในการชี้แจงเพื่อให้ความรู้ความเข้าใจทางแบรนด์เป็นอย่างดีที่สุด

ที่สำคัญที่สุด กราบขอบพระคุณด้วยความเคารพจากใจในทุก ๆ ท่านที่ร่วมกันโพสต์แสดงความคิดเห็นให้แนวทาง อธิบายในข้อมูลที่มีเพื่อเป็นความรู้กับปังชาเป็นอย่างดีที่สุด ขอบพระคุณจริง ๆ ค่ะ

ที่ผ่านมาจากกระแสที่เกิดขึ้น ทางร้านลูกไก่ทองและปังชา มิได้นิ่งนอนใจแต่อย่างใด แต่ได้มีการสอบถามและหาปรึกษาแนวทางร่วมกัน ชี้แจงกับกรมทรัพย์สินทางปัญญาจึงออกมาชี้แจง ณ ที่นี้พร้อมกับกรมทรัพย์สินทางปัญญา”

 

ทีมข่าวได้ลงพื้นที่ไป ร้านปังชา น้ำชาเชียงราย ตั้งอยู่ถนนพหลโยธินสายใน ใกล้สี่แยกประตูสลี เทศบาลนครเชียงราย อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย นายวีระชาติ ไอยรากาญจนาศักดิ์ อายุ 36 ปี เจ้าของร้านยังคงเปิดร้านให้บริการจำหน่ายเครื่องดื่มประเภทชา กาแฟ น้ำแข็งใส ขนม ฯลฯ ตามปกติ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้มีบริษัทเอกชนรายหนึ่งตั้งอยู่เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ ได้ส่งหนังสือไปถึงนายวีระชาติหลายครั้งในช่วงปลายเดือน ก.ค.2566 ขอให้ยุติการละเมิดเครื่องหมายชื่อร้าน "ปังชา" เพราะคล้ายคลึงกับชื่อทางการค้าที่บริษัทได้จดทะเบียนและเปิดร้านจำหนายอาหารอยู่ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลแลห้างสรรพสินค้าชั้นนำอื่นๆ ในกรุงเทพฯ รวมทั้งยังเรียกค่าเสียหายเป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน 102,000,000 บาท (หนึ่งร้อยสองล้านบาท)

 

นอกจากนี้ในหนังสือยังแจ้งให้มีการขอโทษผ่านสื่อต่างๆ และทางหนังสืออย่างเป็นทางการ รวมทั้งให้แจ้งศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย ซึ่งเปิดจำหน่ายร้านปังชาเช่นกันให้รับทราบด้วย ทั้งนี้ระบุให้นำเงินมาชำระค่าเสียหายภายใน 7 วันนับตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือควบคู่กับการยกเลิกใช้ชื่อ "ปังชา" ดังกล่าว และให้เลิกใช้คำว่า "ปังชา" ไปใช้เป็นชื่อเมนูน้ำแข็งใสด้วย หากยังเพิกเฉยจะคิดค่าเสียหายอีกวันละ 10,000 บาทต่อ 1 ร้านด้วย

 

ด้านนายวีระชาติ กล่าวว่าเดิมตนทำงานเป็นรับตกแต่งภายในและต่อมาในปี 2564 ได้หันมาเปิดเป็นร้านจำหน่ายเครื่องดื่มประเภทชา กาแฟ นม ฯลฯ และยังมีชนมต่างๆ เช่น ขนมปัง น้ำแข็งใส ฯลฯ และเพื่อให้ผู้คนจดจำได้ง่ายจึงใช้ชื่อว่า "ปังชา" ที่ถนนสนามบินไม่ห่างจากร้านปัจจุบันมากนัก โดยมีหลักฐานเป็นการโพสต์ในเฟซบุ๊กมาตั้งแต่ต้นแล้ว จากนั้นในเดือน ม.ค.2566 นี้ได้ย้ายไปยังถนนพหลโยธินเพื่อขยับขยายร้าน กระทั่งวันที่ 21 ก.ค.ที่ผ่านมาก็เริ่มมีหนังสือจากบริษัทดังกล่าวส่งถึงตนถึง 3 ครั้ง โดยแจ้งว่าร้านตนละเมิดเครื่องหมาย "ปังชา" และยังมีร้านของญาติตนที่เปิดขายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอยู่ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย ด้วย ซึ่งตนแทบไม่อยากจะเชื่อเพราะชื่อนี้ก็เรียกขานกันอยู่ทั่วไปและอยากให้จำกันง่ายๆ ว่าร้านเราขายน้ำชาและมีขนมปังด้วยนั่นเอง

 

นายวีระชาติ กล่าวอีกว่าเดิมตนก็ไปขอจดทะเบียนการค้าโดยใช้ชื่อเดียวกันนี้แต่บริษัทที่ปรึกษาแจ้งให้ออกแบบให้ชื่อสอดคล้องกับรูปภาพก่อนทำให้ตนชะลอไป แต่ปรากฎว่ายังไม่ทันดำเนินการใดๆ ก็ถูกเอกชนรายดังกล่าวแจ้งว่าละเมิดเครื่องหมายการค้า เรียกค่าเสียหายจำนวนมหาศาลทำให้ตนและครอบครัวเครียดอย่างมากเพราะเราคงไม่มีเงินทองมากถึงขนาดนั้นและตนก็ไม่ได้มีเจตนาจะไปละเมิดแต่อย่างใดอีกด้วย กระนั้นเพื่อไม่ให้กระทบมากจึงได้เปลี่ยนชื่อร้านของญาติที่ศูนยการค้าเซ็นทรัล เชียงราย หลังจากได้รับหนังสือไม่เกิน 7 วันแล้ว แต่ยังคงเหลือที่ร้านของตนบนถนนพหลโยธินสายในที่ยังใช้ชื่อเดิมและเปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 17.00 น.เป็นต้นไป โดยระหว่างนี้ก็ปรึกษาทนายความว่าจะทำอย่างไรเพราะดูจากเอกสารที่บริษัทแจ้งพบว่าเขาพึ่งมาขอจดทะเบียนเมื่อปลายปี 2565 หลังจากที่ตนใช้ชื่อนี้ไปแล้วและตนก็ไม่เคยใช้ชื่อ "ปังชา" มาใช้เป็นมนูน้ำแข็งใสแต่ใช้คำว่า "ปังเย็น" แทนต่างหาก สิ่่งสำคัญคือตนคงไม่มีเงินทองมากมายไปจ่ายให้ถึง 102,000,000 ล้านหรือปรับวันละ 10,000 บาทอย่างแน่นอน

 

นายวีระชาติ กล่าวด้วยว่าร้านตนเปิดมาตั้งแต่ปี 2564 แล้ว และมาเปิดสาขาที่ร้านแห่งนี้ตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคม 2566 แต่ทางร้านเอกชนรายดังกล่าวเพิ่งของสิทธิบัตรได้ในช่วง 2-3 เดือนมานี่เอง ซึ่งทางร้านได้เปิดในชื่อนี้มาก่อน อีกทั้งเมนูอาหารไม่มีใช้คำว่าปังชา แม้แต่เมนุเดียว มีเพียงของหวานชื่อปังเย็นเท่านั้นที่ชื่อคล้ายหน่อยแต่ก้ไม่เฟหมือนเมนูของร้านที่มาฟ้องเรียกค่าเสียหาย ซึ่งทางตนไม่มีเจตนาที่จะนำชื่อมาแอบอ้าง  แต่หากทางเอกชนรายดังกล่าวไม่สบายใจไม่ให้ใช้ชื่อก็พร้อมจะเปลี่ยน แต่จะมาฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเช่นนี้เห็นว่าไม่เป็นธรรม และยังไม่อยากพูดคัยกับผู้ร้องตอนนี้ แต่อยากให้ผู้รู้ด้านกฎหมายมาให้คำปรึกษาตนว่าตนกระทำผิดหรือไม่ เพื่อที่จะดำเนินการต่อไป

 

ต่อมาพบร้านชาที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ได้รับหนังสือโนติสเรียกค่าเสียหายจากการใช้คำว่า “ปังชา” ที่ป้ายไฟของร้าน และมีการเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 7 แสนบาท 

ล่าสุดวันที่ 30 ส.ค. 66 ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยังร้านชาชื่อ “ทางช้างเผือก” ซึ่งตั้งอยู่ภายใน ซ.4 ถ.ศุภสารรังสรรค์ เขตเทศบาลนครหาดใหญ่ จ.สงขลา และพบกับเจ้าของร้านคือ น.ส.ปัณณ์ปรุฬห์ กาญจนโสรัตน์ อายุ 30 ปี

พร้อมกับเล่าให้ฟังว่า ทางร้านเพิ่งเปิดขายชาและนมสดเมื่อวันที่ 8 ก.ค. ที่ผ่านมา และต่อมาในช่วงบ่ายของวันที่ 27 ส.ค. ก็ได้รับหนังสือจากทนายที่อ้างว่า ได้รับมอบอำนาจจากบริษัทใหญ่ที่เป็นเจ้าของแบรนด์ชาและของหวานเจ้าดังในกรุงเทพฯ เพื่อขอให้ยุติการกระทำอันเป็นการละเมิดเครื่องหมายการค้า เเละเรียกค่าเสียหาย พร้อมกับแนบเอกสารตัวหนังสือดังกล่าว ลงวันที่ 26 ก.ค. 66 จำนวน 2 ใบ และเอกสารรูปภาพหน้าเพจ และป้ายไฟของร้านที่มีการติดสติ๊กเกอร์ด้วยตัวอักษรสีฟ้าคำว่า “ปังชา” ที่ถูกกล่าวอ้างว่า เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ หรือเครื่องหมายการค้า

 

โดยในหนังสือยังระบุว่า จะมีการเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 7 แสนบาท หากล่าช้าจะปรับเงิน 1 หมื่นบาท ต่อวัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับจดหมาย รวมทั้งให้แสดงความขอโทษผ่านทางหน้าหนังสือพิมพ์และสื่อต่างๆ รวมทั้งจะมีการเรียกค่าเสียหายเพิ่มเติม หากพบความเสียหายในส่วนอื่นๆด้วย

เจ้าของร้านบอกว่า หลังได้รับหนังสือก็ตกใจมากว่าทำผิดอะไร และต่อมาได้มีการติดต่อไปยังผู้รู้กฎหมาย รวมทั้งเจ้าของร้านที่เชียงใหม่ ที่ปรากฏอยู่ในสื่อต่างๆแล้วด้วย เพื่อหาออก ซึ่งทางร้านขอยืนยันว่า ไม่ได้มีการเจตนาที่จะละเมิดลิขสิทธิ์ หรือเครื่องหมายการค้าของร้านดังกล่าวแต่อย่างใด เพราะ คำว่า “ปังชา” ทางร้านแค่เพียงใช้สื่อความหมายรวมถึงขนมปังและชาเอาไว้ในคำๆเดียวเท่านั้น และแค่ติดสติ๊กเกอร์เอาไว้ที่ป้ายไฟที่วางหน้าร้านจุดเดียว ส่วนชื่อร้านชื่อ ทางช้างเผือก ก็ไม่ได้มีเกี่ยวข้องใดๆ รวมทั้งลักษณะร้านก็คนละแนวกันด้วย

เจ้าของร้านยังบอกด้วยว่า เบื้องต้นนั้นทางร้านได้ทำการลอกสิ๊กเกอร์สีฟ้า คำว่า “ปังชา” ออกไปจากป้ายไฟหน้าร้านแล้ว เพื่อตัดปัญหา รวมทั้งในเพจของทางร้านที่บางแฮทแท็กอาจจะมีคำว่า “ปังชา” รวมอยู่ด้วย ก็ได้ลบออกไปแล้วเช่นกัน เพราะ ไม่อยากมีปัญหา

ทั้งนี้ในส่วนของทางร้านได้มีการติดต่อกับทางร้านที่ จ.เชียงใหม่ ที่ได้รับหนังสือโนติสการละเมิดเครื่องหมายการค้า และเรียกค่าเสียหายในลักษาณะดังกล่าวเช่นเดียวกัน รวมทั้งได้สอบถามในเบื้องต้นกับทางผู้รู้กฎหมาย และทนาย รวมถึงช่องทางสื่อมวล เพื่อขอคำปรึกษา แต่ยังไม่ได้มีกรดำเนินการในทางกฎหมาย หรือจะฟ้องร้องกลับใดๆ โดยรอดูท่าทีอีกครั้ง

 

รวมทั้งขอให้ทางบริษัทใหญ่ดังกล่าวเห็นใจเจ้าของร้าน หือผู้ประการการอื่นๆด้วย อย่าใช้ข้อกฎหมาย หรือช่องโหว่ทางกฎหมายมารังแกกัน อีกทั้งขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบในข้อเท็จจริงว่า เหตุการณ์นี้มีลับลมคมในอะไรหรือไม่ หรือหนังสือถูกออกมาโดยคนบางคนกันแน่ เพื่อให้ความเป็นธรรมกับเจ้าของร้านและผู้ประกอบอาชีพร้านชาและที่เกี่ยวข้อง จะได้กระจ่าง เนื่องจากล่าสุดทางกรมทรัพย์สินทางปัญญาก็ออกมาชี้แจงแล้วว่า ไม่ได้เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ หรือเครื่องหมายการค้า แต่อย่างใด

เสียงแตกละเมิดสิทธิ์ "ปังชา" เรียกเงินร้อยล้าน 2 ร้านงงขายมานานแต่กลับผิด