กรณีเวลา 08.30 น. วันที่ 30 มิ.ย. ตำรวจสายตรวจ สน.ทุ่งสองห้อง ได้ช่วยเหลือหญิงตาบอดพยายามจะเดินให้รถชนบริเวณแยกไฟแดงวัดหลักสี่ ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ เมื่อไปถึงได้พบกับหญิงตาบอด แต่งกายดี ใส่แว่นตาดำ ทราบชื่อต่อมาว่า นางรัตน์ตพร อายุ 45 ปี เจ้าหน้าที่จึงเข้าเกลี้ยกล่อม ก่อนนำตัวมาสงบสติอารมณ์ ที่ สน.ทุ่งสองห้องนั้น

ทีมข่าวช่อง 8 เดินทางมายังหอพักแห่งหนึ่ง ได้พบกับนางรัตน์ตพร เล่าว่า เมื่อปี 2550 ตัวเองได้ทำงานเป็นลูกจ้างชั่วคราวของสถานเอกอัครราชทูต ประจำประเทศกัมพูชา ตอนนั้นสภาพร่างกายยังปกติ กระทั่งทำงานที่กัมพูชา 2 ปี ครึ่ง ท่านทูต ก็ชักชวนตัวเอง ให้ติดตามเขาไปทำงานต่อที่ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งตัวเองก็ได้เดินทางไปกับท่านทูต พอไปทำงานที่ ประเทศฝรั่งเศสได้ปีครึ่ง ตัวเองได้ประสบปัญหาหลายอย่างทั้งเรื่องของสภาพอากาศ ที่หนาวเย็น สภาพความเป็นอยู่ที่ไม่ดี และเครื่องอำนวยความสะดวกไม่เพียงพอ จนตาด้านขวาของตัวเองต้องติดเชื้อแล้วตาบอด ระหว่างนั้นตัวเองต้องทำงานไปรักษาไป และพยามจะยื่นลาออก แต่ท่านทูต ก็ไม่ให้ลา บอกว่าอยู่ช่วยกันก่อน กระทั่งถูกบีบบังคับให้เซ็นใบลาออก และในปี 2554 ตัวเองเดินทางกลับประเทศไทย มาอยูาได้ 2 ปี ตาซ้ายของตัวเองก็บอดสนิท ทำให้ตัวเองมองไม่เห็นอะไรเลย

ภายหลังจากนั้นตัวเองทราบข่าวว่าท่านทูต คน ที่ตัวเองไปทำงานติดตามเขานั้น เขาเกษียณ กลับมาอยู่ประเทศไทย จึงเดินทางไปที่บ้านของท่านทูตดังกล่าว เพื่อให้เขาช่วยให้ความเป็นธรรม แต่ถูกภรรยาของเขากันไว้ไม่ให้เข้าพบ แล้วถูกภรรยาท่านทูตไล่ออกจากหน้าบ้าน พร้อมใช้คำพูดว่า ไปขอทานที่อื่น

จากนั้นจึงตัดสินใจยื่นหนังสือไปยังหน่วยงานต่างๆ ตั้งแต่ปี 2560 เรื่อยมานับ 10 หน่วยงานแต่ก็ไม่มีที่ไหนรับเรื่อง มีที่เดียวที่ตัวเองได้รับเงินเยียวยา คือจากกระทรวงการต่างประเทศมา 186,000 บาท เป็นค่าชดเชยที่ตัวตาบอดทั้งสองข้างจากการไปทำงานรับใช้ท่านทูต

กระทั่งเมื่อ 2 วันที่แล้วตัวเองเครียดหลายๆอย่าง ทั้งเรื่องแม่ป่วย และเรื่องปัญหาความเครียดที่ตัวเองเครียดสะสมมาหลายปี เรื่องที่ยื่นหนังสือขอค่าเยียวยาหลายหน่วยงาน แต่ไม่ได้รับการตอบรับ ทั้งที่ประเทศไทยมีนักกฎหมาย และหน่วยงานภาครัฐมากมาย แต่กลับให้การล่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย ตัวเองจึงตัดสินใจจะเดินไปให้รถชนให้ตายๆไป และอธิษฐานว่า “ถ้าตัวเองตายแล้วมีสิ่งดีๆเกิดขึ้น ตัวเองขอเอาตัวเข้าแลกแล้วกัน” กระทั่งมีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่แถวนั้น มาช่วยเหลือตัวเองเอาไว้ แล้วเตือนสติตัวเองว่า ให้สู้ต่อไป เพราะที่ผ่านมาก็สู้มาตลอดแล้ว เผื่อจะพบแสงสว่าง

นางรัตน์ตพร เล่าต่อว่า ตอนนี้ตัวเองทำงานรับจ้างนวดชั่วโมงละ 300 บาท บางคนที่เขาสงสารตัวเองก็ให้หลักพัน แต่ตัวเองก็ไม่ได้มีลูกค้าทุกวันแต่อย่างใด วันไหนไม่มีลูกค้าก็จะรับขนมมาขายหรือช่วยพี่สาวขายส้มตำ

ตอนที่ตัวเองนวดให้ลูกค้า ก็ไม่ได้ปลอดภัยไปเสียทั้งหมด เพราะมีลูกค้าบางราย ก็ใช้คำพูดกับตัวเองว่า “หน้าตาก็ดีไม่ต้องนวดแล้ว ไปขายตัวดีกว่า” ซึ่งตัวเองก็บอกกับเขาไปว่า “ ถึงตัวเองจะพิการตาบอดแต่หัวใจตัวเองไม่เคยบอด” ซึ่งระยะหลังตัวเองก็รับนวดเฉพาะลูกค้าประจำที่รู้จักกัน ถ้าเป็นคนแปลกหน้าจะไม่รับนวดเป็นเด็ดขาด

ดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตัวเอง ก็อยากร้องขอความเป็นธรรมไม่ใช่เพื่อตัวเองแค่คนเดียว แต่จะได้เป็นตัวอย่าง ให้กับแรงงานผู้ที่เขาอาจตกอยู่ในสภาวะเดียวกับตัวเองอีกด้วย

ทีมข่าวสอบถามถึงดวงตา ของนางสาวรัตน์ตพร ว่าสามารถกลับมามองเห็นโลกใบนี้ได้อีกไหม เจ้าตัวตอบว่าได้สอบถามแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแล้ว ดวงตาทั้ง 2 ข้าง ของตัวเอง ไม่สามารถกลับมามองเห็นโลกใบนี้ได้อีก

อดีตแม่บ้านทูตตาบอด แบกหน้าไปขอค่ายาถูกเมียทูตไล่ส่ง วิ่งให้รถชนแค้นไร้รัฐช่วย