สาวนักธุรกิจขายนาฬิกาหรูโร่แจ้งตำรวจ หลังนาฬิกา Patek philippe มูลค่ากว่า 2 ล้านบาทหายไปในบ้านขณะเตรียมนำไปให้ช่างตรวจเช็กสภาพ

เมื่อเวลา 17.00 น.วันที่ 4 มีนาคม 66 นางสาวฐิติมา หรือเป้ สายศิลป์ อายุ 38 ปี เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.บางศรีเมือง หลังนาฬิกายี่ห้อ Patek philippe มูลค่า 2.1 ล้านบาทหายไปอย่างไร้ร่องรอยภายในบ้านขณะกำลังเตรียมส่งให้ช่างตรวจเช็คสภาพ จึงนำตัว น.ส.หนึ่ง น.ส.แพท พี่เลี้ยงที่ดูแลลูกชายของตนเองภายในบ้าน และนายธเนศ หรือนัส อายุ 27 ปี Messenger ที่รับหน้าที่วิ่งงานให้กับตนเอง มาพบเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อให้สอบปากคำและสืบหาว่าใครเป็นคนนำนาฬิกาปาเต๊ะของตนเองไป

 

น.ส.ฐิติมา เผยว่า เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 3 มีนาคม 66 ที่ผ่านมา ขณะตนเองกำลังพักผ่อนอยู่บนชั้นบนของบ้านกับสามี ตนเองได้ติดต่อให้นายธเนศหรือนัด อายุ 27 ปี Messenger ที่สนิทและไว้วางใจกันมานานกว่า 7 ปี ให้นำนาฬิกา 2 เรือน ยี่ห้อปาเต๊ะ หน้าปัดเทาดำ รุ่น 7118/10200 A มูลค่า 2.1 ล้านบาท กับนาฬิกา Rolex หน้าปัดเงินรุ่น 116509 มูลค่า 1.8 ล้านบาท ไปตรวจเช็กสภาพเครื่องกับช่างประจำที่ย่านบางแค รวมทั้งฝากเงินสด 1.7 ล้านบาทใส่ไว้ในถุงซิป เพื่อนำไปให้มารดาของตนเองที่บางบอน โดยตนใช้บริการของนายธเนศมานานเกือบ 10 ปีแล้ว ในวันเกิดเหตุนายธเนศได้นำ ทรัพย์สิน เงินสด 1.7 ล้านบาทไปให้มารดาของตนเองเป็นที่เรียบร้อย

 

ส่วนนาฬิกา ทั้ง 2 เรือนนั้นนายธเนศและทางร้านนาฬิกาได้ยืนยันว่ามีเพียง Rolex เท่านั้นที่อยู่ในถุงซิปและนำมาให้ร้านตรวจเช็ค ตอนนั้นตนเองตกใจมากจึงสอบถามเรื่องราวจากลูกชายวัย 10 ขวบ รวมทั้งพี่เลี้ยงสาวที่ชื่อ หนึ่ง และ แพท แต่พี่เลี้ยงทั้ง 2 คนยืนยันว่าไม่ได้เอานาฬิกาปาเต๊ะที่หายไป ตนเองสอบถามทราบจากลูกชายว่าเป็นคนหยิบนาฬิกาพร้อมกับพี่เลี้ยงที่ชื่อหนึ่ง ใส่ลงไปในถุงซิปคนละเรือนจริงๆตอนนั้น

 

เมื่อสอบถามนางสาวแพท ก็บอกว่าตนเองไม่ได้เอาไปแต่ช่วงเกิดเหตุที่นาฬิกาหายเป็นช่วงเปลี่ยนกะของพี่เลี้ยงทั้ง 2 คน โดยนางสาวแพทกำลังจะออกเวร ส่วนนางสาวหนึ่งกำลังจะมาเข้าเวรและอยู่ระหว่างเตรียมอาหารให้กับลูกๆของตน ซึ่งช่วงนั้นเองลูกชายตนเองกับนางสาวหนึ่ง ที่ช่วยกันนำเงินสด และ นาฬิกาใส่ถุงเป็นที่เรียบร้อยโดยนำถุงซิปดังกล่าว มาไว้ที่โต๊ะอาหารมีเพียงนางสาวแพทที่เข้ามาที่ครัว ส่วนลูกชายกับนางสาวหนึ่ง ก็อยู่ด้วยกันตลอดเวลา ตนจึงไม่ทราบจริงๆว่านาฬิกาเรือนดังกล่าวถูกใครเอาไปใน 3 คนนี้ เรื่องที่เกิดขึ้น ตนอยากให้คนที่หยิบไปนำมาคืนยืนยันจะไม่เอาเรื่องและจะให้รางวัลเป็นเงินก้อนหนึ่งแต่ถ้าหากถูกจับได้ในภายหลังว่าใครเป็นคนเอาไปและถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบทราบจนจับกุมตัวได้ตนก็จะดำเนินคดีถึงที่สุด

 

ขณะที่นายธเนศ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวหลังให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเสร็จสิ้นว่า วันเกิดเหตุตนได้รับแจ้งจากนางสาวฐิติมาให้มารับทรัพย์สินประกอบด้วยนาฬิกาทั้ง 2 เรือนดังกล่าว รวมทั้งเงินสดซึ่งทราบว่าเป็นหลักล้านแต่ตนไม่ทราบว่าเท่าไหร่โดยให้นำไปให้มารดาของนางสาวฐิติมาหลังจากนั้นตนก็ได้นำนาฬิกาออกมาจากถุงซิปไปให้ช่างซ่อมแต่ปรากฏว่ามีเพียงเรือนเดียวจึงรีบโทรแจ้งให้นางสาวฐิติมาทราบด่วน หลังเกิดเรื่องตนนอนไม่หลับทั้งคืนเพราะทราบว่านาฬิกามี 2 เรือน ยืนยันว่าวันที่ตนเอาไปให้ช่างในถุงซิปมีนาฬิกาเพียงเรือนเดียวจริงๆ และยืนยันว่าตนไม่ได้เอาไปอย่างแน่นอนตนทำงานรับจ้างนำสิ่งของมีค่าจากนางสาวฐิติมา มานานเกือบ 10 ปี ไม่เคยมีความคิดที่จะหยิบข้าวของที่มีค่าที่รับจ้างมาอย่างเด็ดขาด

ด้านนางสาวหนึ่ง อายุ 42 ปี พี่เลี้ยงเด็ก  กล่าวว่า ตนอยู่กะดึกเช้ามาก็เตรียมชุดให้น้องคนโตไปโรงเรียนวันเกิดเหตุน้องไม่ได้ไปโรงเรียน เวลาประมาณ 8 โมง 3 นาทีตนได้ยินเสียงน้องคนเล็กเคาะเสียงดังก๊อกๆตนเลยรีบลุกขึ้นมาคิดว่าน้องต้องเล่นอะไรผิดปกติอยู่แน่ ก็เลยพุ่งตัวไปหน้าประตูห้อง เห็นว่านาฬิกาถูกเปิดออกมาจากกล่อง ซึ่งตนเคยเห็น เจ้านายเอานาฬิกาไปซ่อม พอตนเห็นคิดว่านาฬิกาต้องแพงแน่ มีทั้งหมด 2 เรือน น้องเปิดซิปออกมาแล้วเอานาฬิกาออกมาตนเลยเรียกน้องคนโตให้เอานาฬิกาไปเก็บ น้องเลยเอาไปเก็บบนโต๊ะกินข้าว ตนไปเตรียมข้าวมาให้น้องแต่ตนยังเห็นว่าถุงวางบนโต๊ะแต่ไม่ได้ผูกปากถุง หลังจากนั้นตนก็ไม่ได้ยุ่งอะไรอีกเลย  พี่คนที่เปลี่ยนกะเข้ามาเปิดประตูรั้วตนก็ไปที่รถเพื่อขยับรถออก แล้วเข้ามาล้างขวดนมซึ่งอยู่ส่วนในครัว ไม่ได้เดินมาโซนที่วางของเอาไว้แล้วตนกลับบ้านตามปกติ มองนาฬิกาประมาณ 9 โมงกว่า หลังจากนั้นประมาณ 13.30น.เจ้านายโทรมาถามว่าพี่หนึ่งเห็นนาฬิกาไหม ตนบอกว่าเห็นมี 2 เรือน แต่ที่ร้านนาฬิกาบอกว่ามีเรือนเดียวมันหาย ไป 1 เรือน ตนยืนยันว่าเห็น 2 เรือน เจ้านายโทรมาอีกรอบนึงตนเลยบอกว่าแจ้งตำรวจเลยไหม พยายามช่วยกันหาในบ้านแต่ไม่เจอ ตนเลยไปไล่ตามไทม์ไลน์ Messenger มาตอน 9 โมง 34 นาที ตนกลับไปถามน้องซึ่งเป็นลูกชายคนโตถามว่าอยู่ที่หน้าของที่วางไว้ตลอดเลยหรือเปล่า เขาบอกอยู่ตลอดแต่พอถามอีกครั้งเขาบอกว่า เดินขึ้นไปหาแม่พื่อจะคุยเรื่องไปว่ายน้ำ ก็คือทิ้งของไว้ตรงนั้น ตนโทรไปถามครูว่ายน้ำบอกว่าลูกชายคนโตโทรไปตอน 10 โมง 3 นาที บอกว่าไม่ไปว่ายน้ำแล้ว ตอนนั้นตนไม่รู้ว่าพี่เลี้ยงอีกคนไปเอาชุดว่ายน้ำทำไมในเมื่อน้องคนโตบอกยกเลิกแล้ว ซึ่งตนยืนยันว่าตนไม่ได้จับของอีกเลยเพราะตอนออกไป ของก็อยู่บนโต๊ะกินข้าวไม่ได้เดินเฉียดไปอีกเลย ตอนนี้ไม่สบายใจ เนื่องจากทางเจ้านายบอกว่าถ้าหาของไม่ได้ จับคนเอาไปไม่ได้ก็จะไล่ออกทั้งหมดเลย

 

ขณะที่นางสาวแพท พี่เลี้ยง กล่าวว่า ตนทำงานสลับกัน 2 กะ พี่หนึ่งจะเข้าหนึ่งทุ่มแล้วออก 9 โมงเช้า ตนจะเข้ากะ 9:00 น ออก 19:00 น พอตนมาถึงให้น้องเปิดประตูรั้วให้ พอตนเข้ามาทางพี่หนึ่งก็เดินไปตรงโต๊ะอาหาร จัดของให้น้องจนเสร็จประมาณ 9:14 น ตอนนั้นตนอยู่ในครัวแล้ว อุ้มน้องคนเล็กอยู่ ทำอะไรจนเสร็จประมาณก่อนหน้า Messenger มาประมาณ 10 นาที อุ้มน้องไปที่โซฟาแล้วไปหยิบตะกร้านมน้องตรงที่โต๊ะทานข้าว ซึ่งตนไม่รู้ว่ามีของซึ่งเป็นนาฬิกาอยู่บนโต๊ะไม่งั้นตนจะเลื่อนไปอีกที่หนึ่ง จะเอาไว้ตรงบันได เวลาน้อง Messenger มาตนจะเปิดประตูให้เขามาหยิบ ทำแบบนี้มา 2 ปีแล้ว เพราะตนอยู่มาก่อนคนชื่อหนึ่ง ส่วนในภาพกล้องวงจรปิด น้องคนโตจะไปว่าย น้ำ ตนอุ้มน้องคนเล็กมา เพื่อจะไปเอาชุดว่ายน้ำที่รถ ตอนนั้น Messenger ยังไม่ได้มา ตนยืนยันไม่ได้เอานาฬิกานายจ้างไปอย่างแน่นอน