"ลุงวี" ให้ปากคำครั้งที่ 3 ปมน้องต่อหายตัว ยันเห็นชายเสื้อเหลืองจริง ท่าทางมีพิรุธคล้ายอุ้มเด็ก แต่บอกรูปพรรณสัณฐานไม่ได้เพราะตาเป็นต้อ ส่วนปมแช็ตหลุด "พุด" ถูกจับ ด้านป้าน้องต่อเผยตำรวจเป็นคนพิมพ์ไม่ใช่พ่อเด็ก

วันที่ 15 ก.พ.66 สืบเนื่องจากกรณี "น้องต่อ" วัย 8 เดือนหายตัวปริศนา ความคืบหน้าวันนี้ (15 ก.พ.66) "ลุงวี" เข้ามาให้ปากคำกับตำรวจเพิ่มเติมเป็นครั้งที่ 3 แล้ว ช่วงหนึ่งระหว่างพักทานอาหาร "ลุงวี" เดินออกมาจากห้องสอบสวน บรรดานักข่าววิ่งกรูกันเข้าไปสอบถาม ด้านลุงวียังยืนยันคำเดิมว่าเห็นชายเสื้อเหลืองจริง พร้อมกับทำท่าทางให้ทีมข่าวดูว่าเห็นชายเสื้อเหลือง มือคล้ายกับอุ้มเด็ก ท่าทางดูมีพิรุธ เดินกึ่งวิ่งเข้าไปในตรอกเยื้อง ๆ กับตรงข้ามบ้าน ซึ่งตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ 6 โมงกว่า ๆ สาเหตุที่เวลาไม่ชัวร์ เพราะตนเองไม่ได้ดูนาฬิกา เป็นแค่การกะเกณฑ์เอาเท่านั้น ตอนนั้นเข้าใจว่าชายคนนี้น่าจะแอบมาลักเล็กขโมยน้อยในชุมชนหรือเปล่า ไม่ได้สงสัยว่าเป็นการขโมยเด็กก็เลยไม่ได้วิ่งตามไปกระทั่งมารู้ทีหลังว่าน้องต่อหายตัวไป

ลุงวี บอกอีกว่า ที่ผ่านมาตำรวจสอบปากคำตนเอง 3 ครั้งแล้ว และทุกครั้งก็ตอบคำตอบแบบเดิม แม้ว่าจะถูกถามอีกสักกี่ครั้ง เพราะเห็นจริง แต่ที่ไม่สามารถบอกรูปพรรณสัณฐานของชายคนดังกล่าวได้เพราะตาเป็นต้อ มองไม่ค่อยชัด ทันทีที่พูดจบ ลุงวีก็ถอดแว่นส่งให้นักข่าวดูว่าเเว่นดังกล่างเป็นเพียงแว่นกรองแสง ไม่ใช่แว่นที่มีค่าสายตา

ทีมข่าวพยายามสอบถามว่า แล้วหลังจากนี้ตำรวจจะติดต่อให้ลุงวีเข้าเครื่องจับเท็จหรือไม่ ลุงวีตอบสั้น ๆ ว่า "เเล้วจะไปเข้าไปทำอะไร"

ขณะที่นายเอกลักษณ์ หลุ่มชมแข หรือคุณเอก หัวหน้าศูนย์ข้อมูลคนหายเพื่อการต่อต้านการค้ามนุษย์ มูลนิธิกระจกเงา ได้เดินทางมาที่ สภ.บางหลวง คุณเอกบอกกับนักข่าวว่า ตอนนี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เพราะกระบวนการยุติธรรมจะต้องเดินด้วยหลักฐาน ไม่ได้เดินไปพร้อมกับความคิดเห็น ถ้าเป็นข้อเท็จจริงก็ต้องนำหลักฐานมาแสดง หากไม่มีหลักฐานการสอบปากคำก็ควรอยู่ในกระบวนการที่เหมาะสม ก่อนหน้านี้นิ่ม แม่ของน้องต่อ และพุด พ่อของน้องต่อ ได้ประสานมาที่มูลนิธิว่า รู้สึกไม่สบายใจเกี่ยวกับกระบวนการและขั้นตอนต่าง ๆ เพราะตอนนี้กินเวลามาหลายวันแล้ว และโทรศัพท์ยังถูกเจ้าหน้าที่นำไปตรวจสอบจึงมีความยากลำบากในการติดต่อสื่อสาร

คุณเอก ยังบอกด้วยว่า หากมองย้อนไปดูคดีคนหายในอดีตที่ผ่านมาถือเป็นบทเรียน และเป็นรายละเอียดข้อเท็จจริงที่น่าจะนำมาเปรียบเทียบกับกรณีนี้ได้ ในฐานะหน่วยงานตามหาคนหาย จึงอยากคุยกับพ่อแม่เด็กอีกครั้ง เพราะรายละเอียดที่ยังไม่ได้มีการบอกกล่าวอาจมีแนวโน้มที่จะสื่อสารกันต่อไป ซึ่งถ้าทั้งสองคนเป็นผู้บริสุทธิ์ และไม่เกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของลูก ทั้งสองคนก็มีความจำเป็นที่จะต้องได้รับความเป็นธรรมจากสังคมเช่นกัน ซึ่งประเด็นที่เด็กหายมูลนิธิไม่ได้ตั้งไว้แค่ประเด็นครอบครัวประเด็นเดียว แต่ยังมีประเด็นอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย แต่ท้ายที่สุดไม่มีการหายตัวใดไม่เกี่ยวข้องกับครอบครัว ซึ่งครอบครัวอาจจะมีความเกี่ยวข้องทั้งตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม

ส่วนประเด็นเรื่องแช็ตปริศนาที่ทีมข่าวนำเสนอไปเมื่อวาน (15 ก.พ.66) ว่า พุด แอบส่งข้อความหา หมี ซึ่งเป็นป้าของน้องต่อ โดยเนื้อหาอ้างว่ากำลังจะโดนจับ ฝากพ่อด้วย ล่าสุด ทีมข่าวตรวจสอบกับหมี บอกว่า แช็ตดังกล่าว ตำรวจเป็นคนพิมพ์ ไม่ใช่น้องชาย ซึ่งหลังจากได้รับข้อความในช่วงเย็นเมื่อวาน (15 ก.พ.66) ส่วนตัวรู้สึกตกใจ จึงรีบขี่รถจักรยานยนต์มาหา ซึ่งน้องชายกำลังอยู่ระหว่างสอบปากคำที่ สภ.บางหลวง ซึ่งหมี บอกว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่เจอน้องชาย แต่เมื่อตำรวจ ยืนยันมาแบบนั้น ก็เลยไม่ได้ติดใจอะไรกับแช็ตอีก ขณะเดียวกันตนเองตั้งข้อสังเกตว่า 10 วันที่ผ่านมา อาจจะมีบางประเด็นที่ไม่สามารถคลี่คลายได้ ส่วนตัวอยากให้คดีนี้จบโดยเร็ว เพราะคิดถึงหลาน แต่ก็เข้าใจการทำงานของตำรวจ เบื้องต้นตนเองไม่ได้ติดใจประเด็นใด เนื่องจากให้ปากคำไปกับเจ้าหน้าที่จนหมดแล้ว รวมถึงประเด็นที่แฟนสาว (เล็ก) ชี้เเจงเรื่องเงิน 10,000 บาทด้วย

ยืนยันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและได้ส่งมอบหลักฐานทุกอย่างให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจไปหมดแล้ว ทั้งบัญชีธนาคารและโทรศัพท์