ความตอนหนึ่งจากโพสต์ของนิ้วกลม ระบุว่า เห็นรอยยิ้ม การปล่อยมุก เสียงหัวเราะคึกครื้นของท่านแล้วอดสงสัยไม่ได้จริงๆ ว่าท่านรับรู้ความเจ็บช้ำของประชาชนบ้างไหม โรคระบาดอาจไม่กระทบรายได้และความเป็นอยู่ของพวกท่านเพราะไม่เคยมีไอเดียที่แสดงถึงการร่วมทุกข์ร่วมสุขกับประชาชนแต่อย่างใด ท่านเหมือนอยู่คนละโลกกับประชาชนจริงๆ ครับ

เอ๋ สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์ หรือนิ้วกลม นักเขียนชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊กสะท้อนปัญหามาตรการควบคุม-จัดการการแพร่ระบาดโรคโควิด19 ของรัฐบาล ซึ่งมีการแชร์กว่า 4 หมื่นครั้งและกดไลก์อีกกว่า 6 หมื่นครั้ง โดยระบุว่า

 

 

ได้ยินเสียงร้องไห้ของประชาชนบ้างไหม

---

หลับไปแล้วตื่นมาตอนตีสอง เห็นข่าวล็อกดาวน์ท่ามกลางเสียงร้องระงมของผู้คนทำกิจการค้าขาย เห็นแล้วก็เห็นใจเพื่อนพี่น้องและสงสารตัวเอง

ท่ามกลางความไม่แน่นอนของโรคระบาด สิ่งที่ทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลงไปอีกคือความไม่แน่นอนที่เกิดจากการบริหารจัดการของร้าบานที่ทำอะไรเหมือนไม่เห็นหัวประชาชน

  1. ไม่จริงใจเปิดเผยปัญหาและบอกข้อมูลที่จำเป็น ทำให้ทุกคนทุกธุรกิจไม่รู้จะวางแผนรับมือยังไง
  2. ไม่เคยมีการบอกแผนการล่วงหน้า แต่ใช้วิธีประกาศฉุกละหุก (เช่นเที่ยงคืน???) ทั้งที่เมื่อวานยังชูสองนิ้ว victory อยู่เลย
  3. ตัดสินใจในเรื่องที่มีผลต่อคนจำนวนมหาศาลแต่ไม่มีมาตรการเยียวยาช่วยเหลืออย่างทั่วถึงในรูปแบบต่างๆ

พวกท่านกำลังทำงานที่รับผิดชอบกับความเป็นความตายของประชาชน ทั้งตายจากโรคระบาดและตายจากตกงาน ธุรกิจพัง รวมทั้งตายจากหมดแรงสู้ ท้อใจ ใจสลาย อยากรู้ว่าท่านๆได้ยินเสียงร้องไห้ของประชาชนบ้างไหม หรือเสียงหัวเราะของคนรอบตัวกลบไปหมดแล้ว งงจริงๆ ว่าหัวเราะปล่อยมุกกันแบบนั้นได้ยังไง แล้วถัดมาอีกวันก็มาประกาศล็อกดาวน์ตอนเที่ยงคืน โดยจะมีผลในอีก 2 วันถัดไป

เห็นรอยยิ้ม การปล่อยมุก เสียงหัวเราะคึกครื้นของท่านแล้วอดสงสัยไม่ได้จริงๆ ว่าท่านรับรู้ความเจ็บช้ำของประชาชนบ้างไหม โรคระบาดอาจไม่กระทบรายได้และความเป็นอยู่ของพวกท่านเพราะไม่เคยมีไอเดียที่แสดงถึงการร่วมทุกข์ร่วมสุขกับประชาชนแต่อย่างใด ท่านเหมือนอยู่คนละโลกกับประชาชนจริงๆ ครับ

เค้าจะตายกันหมดแล้ว--ท่านได้ยินบ้างเถอะครับ

ได้พูดคุยกับเพื่อนที่ทำธุรกิจที่ปรับตัวแล้วปรับตัวอีก เปลี่ยนมาสามธุรกิจตั้งแต่โควิดเกิดขึ้น แต่จากการไม่มีภาพระยะยาวจากภาครัฐและเปลี่ยนแปลงไปมา ทำให้เขาท้อใจและหมดแรง ผู้คนในองค์กรก็หมดใจ

เค้าจะซึมเศร้ากันหมดแล้ว--ท่านได้ยินบ้างเถอะ

ทำอะไรคิดถึงความทุกข์ ความเหนื่อย ความลำบาก และความเป็นความตายของประชาชนบ้าง

เข้าใจทุกครั้งที่มีคนบอกว่าประเทศอื่นก็มีปัญหา เข้าใจครับว่าปัญหานี้มันไม่ง่าย แต่สิ่งที่เข้าใจไม่ได้คือความไม่รู้สึกรู้สากับความเดือดร้อนของประชาชน เสียงหัวเราะ ใบหน้าระรื่น มุกไม่ขำ คำพูดล้อเล่นนะจ๊ะเหล่านั้นไม่ได้ช่วยคลายเครียดแต่อย่างใด ตราบที่วันหนึ่งประกาศอย่าง พอเที่ยงคืนอีกวันประกาศอีกอย่าง สิ่งเหล่านี้ล้วนสะท้อนว่าท่านคิดถึงประชาชนน้อยเหลือเกิน

เห็นผู้คนช่วยเหลือกัน ธุรกิจก็ซัพพอร์ตกัน คนตัวเล็กตัวน้อยดิ้นรนทุกวิถีทาง พยายามปรับตัวขูดเค้นสมองมาแก้วิกฤตในมุมส่วนตัว แล้วหันมาเจอการทำงานของฝั่งรัฐบาลแบบนี้แล้วท้อใจจริงๆ

ประชาชนเต็มที่แล้ว ท่านทำอะไรที่ดีกว่านี้เพื่อประชาชนบ้างหรือยัง

ถ้าทำไม่ได้ ลาออกเถอะครับ

ออกไปเถอะครับ

ชีวิตประชาชนไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ถ้าเราได้เห็นความจริงใจ ความพยายามในการหาวัคซีนที่หลากหลายตั้งแต่ต้น การคิดถึงประชาชนก่อนผลประโยชน์ของตัวเองหรือคนได้เปรียบทั้งหลาย ความโปร่งใสในการแก้ปัญหา ความตรงไปตรงมาในการแจ้งข้อมูลข่าวสาร รวมถึงศักยภาพและฝีมือในการรับมือรวมถึงสื่อสาร ต่อให้สถานการณ์เลวร้ายก็จะสู้ไปด้วยกัน แต่ที่ผ่านมาทั้งหมดมันไม่ใช่เลย

ท่านควรได้ยินเสียงความทุกข์จากประชาชนให้ชัดๆ สองรูหูของพวกท่านบ้าง ซึ่งมาถึงวันนี้เราได้ยินเสียงที่ดังขึ้นเรื่อยๆ แทรกจากเสียงโอดครวญจากความเจ็บปวดท้อใจ นั่นคือเสียงที่บอกว่า "ไม่ไหวก็ออกไปเถอะครับ"

ถ้าพวกท่านไม่เต็มที่ก็ควรออกไป ถ้าเต็มที่แล้วได้แค่นี้ก็ควรออกไปเช่นกัน ไม่ใช่จะไม่เห็นใจ แต่ท่านไม่เห็นใจประชาชนก่อน ไม่เคยแสดงให้เห็นว่าร่วมทุกข์ร่วมสุขกันหรือคิดถึงประชาชนเป็นหลัก เสียงหัวเราะท่ามกลางทุกข์ร้อนของประชาชนเป็นเครื่องยืนยันสิ่งนี้ การประกาศตอนเที่ยงคืนยิ่งตอกย้ำ

ประชาชนทำเต็มที่แล้ว เราต้องการผู้นำที่มีหัวจิตหัวใจเรามากกว่านี้ มีศักยภาพกว่านี้ ไม่งั้นเราจะตายกันหมดจริงๆ ไม่เฉพาะจากโรคระบาด แต่จากความท้อใจ สิ้นหวัง หมดแรง ที่จะต้องเผชิญความไม่แน่นอนซ้อนความไม่แน่นอนที่เกิดจากการบริหารจัดการที่ไร้ประสิทธิภาพ

ได้ยินเสียงร้องไห้ของประชาชนบ้างไหมครับ หรือเสียงหัวเราะของคนรอบตัวของท่านมันดังกลบไปหมดแล้ว???

#ลาออกไปเถอะครับ