หากยืดเวลาฉีดเข็ม 2 จึงมิน่าห่วง แต่ไม่ควรห่างเกิน 4 เดือน

เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัส​วิทยา​คลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก นพ.ยง ภู่วรวรรณ ระบุว่า

ขณะนี้การศึกษาได้ติดตามกลุ่มที่ฉีดวัคซีน AstraZeneca จะครบ 1 เดือนหลังฉีดเข็ม 2 ในปลายเดือนนี้ ข้อมูลการฉีดครบ 2 เข็ม ก็จะได้เห็นกัน

เลยอยากเอาข้อมูลที่กำหนดระยะห่าง 10 สัปดาห์กับการตรวจพบภูมิต้านทาน ที่ 10 สัปดาห์ ให้ดู เพื่อให้ทราบว่าถึงแม้ว่าเราจะเลื่อนเป็น 12 สัปดาห์

ภูมิคุ้มกันก็คงจะอยู่ระดับนี้ แต่ถ้าเลื่อนเป็น 16 สัปดาห์ เชื่อว่าถ้าภูมิคุ้มกันตกลงก็ไม่น่าจะมากกว่านี้มาก และการกระตุ้นเข็มที่ 2 ของวัคซีน AstraZeneca โดยทั่วไปจะสูงขึ้น 1 log scale กำลังรอติดตามปลายเดือนนี้ และการกระตุ้นภูมิต้านทานถ้าทิ้งระยะห่าง ภูมิต้านทานที่กระตุ้นขึ้นจะสูงกว่า ระยะที่เข็มแรกกับเข็ม 2 เข้ามาชิดกัน

แต่ข้อเสียของการเว้นระยะห่าง คือการป้องกันโรคในช่วงเว้นระยะ จะมีประสิทธิภาพยังไม่เต็มที่ ถ้ามีวัคซีนมากพอก็ไม่ควรเว้นระยะห่าง ในยามขาดแคลนวัคซีน หรือต้องการปูพรมคนหมู่มาก การได้เข็มเดียวก็ยังดีกว่าไม่ได้เลย ปัญหาจึงอยู่ที่ทรัพยากรที่เราจะมีมาโดยเฉพาะวัคซีนถ้าหามาได้มากก็ไม่ควรจะเว้นระยะห่างไปถึง 16 สัปดาห์ กลยุทธ์ในด้านระบาดวิทยาจึงต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวม ก่อน

ส่วนวัคซีน Sinovac เราก็กำลังจะตรวจภูมิต้านทาน 3 เดือนหลังฉีดเข็ม 2 ในต้นเดือนหน้า เพื่อดูการลดลงของภูมิต้านทาน และจะติดตามดูว่ามีความจำเป็นที่จะต้องให้เข็ม 3 เมื่อไหร่

ข้อสังเกตจากการดูรูปทั้งสองนี้ เป็นการตรวจภูมิต้านทานต่างวิธีกัน วิธีหนึ่งเป็นการตรวจ IgG รวม อีกวิธีหนึ่ง เป็นการตรวจ IgG ที่จำเพาะต่อ RBD และการตรวจทั้งสองวิธีมีหน่วยไม่เหมือนกัน

ดังนั้นการตรวจถ้าเราไม่รู้ ดูเพียงแต่ตัวเลขจะเกิดความสับสนได้ ในทางปฏิบัติการตรวจภูมิต้านทานจึงใช้ในงานวิจัยมากกว่างานบริการ เพราะในงานบริการ จุดอ้างอิง หรือมาตรฐานสากลยังไม่มี