พรรคฝ่ายค้าน ยื่นรายชื่อส.ส. 208 ชื่อ ขอเปิดซักฟอก 10 รัฐมนตรี 3 ป. มาครบ "ธรรมนัส" ไม่หลุดโผ แต่ตัดชื่อ "จุติ" ออกนาทีสุดท้าย หวั่นเวลาไม่พอ ด้านเศรษฐกิจใหม่-ไทยศรีวิไลย์โผล่ร่วมแจมด้วย มั่นใจไม่มีมวยล้มต้มคนดู มีหมัดเด็ดน็อกรัฐบาลได้แน่ ด้าน"พิธา"ลั่นตราบใดที่ตนยังเป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกล จะไม่ยอมให้ถูกขโมยเวลาอีก

นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และพรรคร่วมฝ่ายค้าน ร่วมถึงพรรคเศรษฐกิจใหม่และพรรคไทยศรีวิไลย์ นำรายชื่อ ส.ส.กว่า 208 คน ยื่นญัตติด่วนถึงนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอเปิดอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีรายบุคคล จำนวน 10 คน ประกอบด้วย

1.พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในกล่าวข้อหา บริหารราชการแผ่นดินล้มเหลว ผิดพลาด บกพร่องอย่างร้ายแรง ไร้ประสิทธิภาพ ไร้ปัญญา มีพฤติกรรมฉ้อฉล ทุจริต ปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริต เพื่อสร้างความร่ำรวยมั่งคั่งให้กับตนเองและพวกพ้อง ท่ามกลางภาวะที่ประชาชนใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก และยังเกิดโรคระบาด โควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจดิ่งเหว ปล่อยปละละเลยให้มีการกระจายตัวของบ่อนการพนันโดยทั่วไป ปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน และยังใช้สถาบันเป็นข้ออ้างในการแบ่งแยกประชาชนใช้งบประมาณแผ่นดินในการสร้างความนิยมให้ตนเอง

2. พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในข้อกล่าวหาว่า ทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพล ใช้งบประมาณของรัฐเพื่อสร้างความร่ำรวยมั่นคงให้กับตัวเอง มีพฤติกรรมทุจริตต่อหน้าที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง

3. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในข้อกล่าวหาว่า ไร้ประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้การระบาดรอบ 2  อย่างรวดเร็วและวงกว้าง ปกปิดอำพรางการจัดซื้อวัคซีน

4. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์  ในข้อกล่าวหา ไร้ความสามารถ ลอยตัวเหนือปัญหา เลือกปฏิบัติ แต่งตั้งบุคคลที่ไม่มีคุณสมบัติเข้ามาทำงานโดยเห็นแก่พวกพ้อง และยังปกปิดข้อมูลการทุจริตทำให้หน่วยงานของรัฐในกำกับเกิดความเสียหาย

5.พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในข้อกล่าวหา ใช้ตำแหน่งหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์ และใช้กลไกทางกฎหมายวางแผนทุจริตอย่างเป็นระบบและแยบยล ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องการต่อสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว และโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ

6.นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในข้อกล่าวหาว่า ใช้อำนาจแทรกแซงการทำหน้าที่ของข้าราชการประจำ ในลักษณะกดขี่ข่มเหง เพื่อให้คนของตนเองเข้าสู่ตำแหน่ง ขาดวุฒิภาวการณ์เป็นผู้นำที่ดี ปิดบังการทุจริต ผิดรัฐธรรมนูญ

7.นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในข้อกล่าวหาว่า ปล่อยปละให้มีการแสวงหาผลประโยชน์ของผู้ใช้แรงงาน ไม่กำชับควบคุมผู้ใช้แรงงานต่างด้าวให้เป็นระบบ จนเป็นผลกระทบทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 มีพฤติกรรมสร้างความแตกแยกในสังคม

8. นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในข้อกล่าวหาว่า เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนผูกขาด เพื่อให้มีสิทธิดำเนินในกิจการของรัฐ โดยไม่รักษาผลประโยชน์ของรัฐ สมคบกันนเพื่อปิดบังการทุจริต

9. นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในข้อกล่าวหาว่า ไม่ซื่อสัตย์สุจริตไม่คำนึงถึงประโยชน์ประเทศชาติและประชาชน

และ 10. ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในข้อกล่าวว่า ใช้งบประมาณของรัฐเอื้อประโยชน์ตัวเองปละพวกพ้อง ปกปิดข้อมูลความจริงในการยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ขาดคุณสมบัติดำรงตำแหน่ง ทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพล กร่างเถื่อน เสนอให้มีการแต่งตั้งคู่สมรสเป็นข้าราชการการเมือง โดยไม่คำนึงถึงวุฒิภาวะและความเหมาะสม

ทั้งนี้ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ มีหลายประเด็นในการอภิปรายตรวจสอบรัฐบาล ทั้งการทุจริต การปฏิบัติหน้าที่บริหารราชการล้มเหลว ขาดนิติรัฐนิติธรรม พร้อมยืนยันว่า มีหมัดเด็ด น็อกรัฐบาลได้แน่นอนเพราะหลักฐานค่อนข้างชัดเจน มีรายการเด็ดทุกวันของการอภิปราย และยืนยันว่าข้อมูลจะไม่ซ้ำซ้อนกันเพราะมีการตั้งวอร์รูมหารือเตรียมความพร้อม โดยมีไม่น้อยกว่า 2 เรื่องที่จะยื่นฟ้องร้องต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไปรวมทั้ง มีหลายเรื่องที่สามารถยื่นเอาผิดทางอาญาได้ด้วย และมั่นใจว่า แม้เสียงในสภาจะไม่ถึงขั้นถอนถอนรัฐมนตรีได้ แต่หากประชาชนได้ฟังจะสามารถเรียกศรัทธาจากประชาชนกลับมาได้ ส่วนจะลบข้อครหาที่ฝ่ายค้านไม่สามารถทำให้รัฐบาลสั่นคลอนได้หรือไม่นั้น อยากให้ติดตามการอภิปราย

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่าการอภิปรายรอบนี้ต่างจากครั้งที่แล้ว ที่ถูกบีบคั้นด้วยเวลา แต่ครั้งนี้ฝ่ายค้านมีเอกภาพ ทำงานร่วมกันอย่างรอบคอบมีเวลาเหลือเฟือก่อนปิดสมัยประชุม และยืนยันว่าการอภิปรายจะเข้มข้น ชัดเจนและไปในทิศทางเดียวกัน เป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดมวยล้มต้มคนดูตามคำครหา ที่ส่วนตัวเชื่อว่าเป็นปฏิบัติการไอโอ ที่มักจะเกิดขึ้นในช่วงยื่นญัตติไม่ไว้วางใจ ซึ่งเห็นว่า รัฐบาลควรเอาเวลาเตรียมข้อมูลมาชี้แจงดีกว่า พร้อมขอให้ทำการเมืองอย่างสร้างสรรค์ ในช่วงเวลาที่ประเทศอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ พร้อมประกาศว่าตราบใดที่ตนยังเป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกล จะไม่มีทางถูกเบียดบังเวลาจนต้องมาอภิปรายนอกสภาเหมือนรอบก่อน

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ยืนยันอีกเสียงว่าจะไม่มีมวยล้มต้มคนดู แต่ขอให้สภาฯ ทำตัวเป็นกลาง อย่าปิดปากคนอภิปรายเหมือนครั้งที่ผ่านมา

ขณะที่นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ประกาศร่วมเป็นฝ่ายค้านเต็มตัว จนกว่าจะมีการเลือกตั้งใหม่ โดยให้เหตุผลว่าด้วยสถานการณ์เช่นนี้การเป็นฝ่ายค้านน่าจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากกว่า ยืนยันว่าหากฝ่ายค้านมีมติอย่างใดออกมาพร้อมปฏิบัติตาม ไม่กลับไปกลับมาอีกแล้ว ซึ่งในครั้งนี้นายมงคลกิตติ์ได้รับการจัดสรรเวลาอภิปรายด้วย

ด้านประธานสภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า ขั้นตอนหลังจากนี้ เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบความถูกต้อง และจะดำเนินการเข้าสู้ระเบียบวาระการประชุม โดยคาดว่า จะสามารถเปิดอภิปรายได้ 16-19 กุมภาพันธ์นี้ แต่หลังจากนี้ จะมีการการหารือถึงระยะเวลาการอภิปรายที่แน่ชัดอีกครั้ง
ทั้งนี้ มีรายงานว่า ก่อนการยื่นญัตติหัวหน้า และ ส.ส.พรรคฝ่ายค้าน ได้หารือร่วมกันก่อนยื่นญัตติถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยมีมติให้ตัดชื่อนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ออก เนื่องจากเกรงว่า เวลาการอภิปรายจะไม่เพียงพอ และข้อมูลยังไม่ครบถ้วน