ลุงพลโดนแล้วหมายเรียก 1 คดี ครอบครองไม้มะค่าแต้ เตรียมรับทราบข้อหาวันจันทร์นี้ พร้อมย้ายศาลเจ้าแม่โสรภี เพราะศาลเดิมผิดกฎของกรมทางหลวง

ความคืบหน้าสถานการณ์บ้านกกกอก ในส่วนคดีฆาตกรรมน้องชมพู่ยังไม่มีคืบหน้าจากตำรวจ แต่ในส่วนของนายไชย์พล วิภา ลุงเขยน้องชมพู่ที่ตกเป็นหนึ่งผู้ต้องสงสัยคดีนี้ ยังมีหลายประเด็น หลังจาก ช่วงเย็นวานนี้ ( 23 มกราคม) พนักงานสอบสวน สภ.กกตูม นำหมายเรียกนายไชย์พล วิภา หรือลุงพล ในคดีการครอบครองไม้หวงห้าม​ โดยไม่ได้รับอนุญาต​ กรณีการนำไม้มะค่าเเต้ ที่เข้าใจว่า เป็นไม้ตะเคียน มาไว้ที่บริเวณจุดก่อสร้างพญานาค​ จนมีประชาชนมากราบไหว้​ ซึ่งลุงพล จะเดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหา ในวันพรุ่งนี้ เวลา 09.00 น.

ลุงพลยืนยันว่าได้รับหมายเรียกจากตำรวจ สภ.กกตูมแล้ว ส่วนตัวไม่กังวล เพราะมีเจตนาที่บริสุทธิ์ และพรุ่งนี้ช่วงบ่าย ทนายตั้มจะเดินทางมาถึงที่บ้านกกอก และจะปรึกษารายละเอียดทางคดี

ลุงพลยืนยันว่า ตัวเองไม่มีพยานเพิ่มแล้ว ส่วนตัวจนถึงวันนี้ ยังคงเชื่อว่า น้องชมพู่เดินขึ้นเขาเองไม่ได้ ส่วนการเดินขึ้นเขาของทนายตั้ม ไม่ได้มีนัยยะอะไรเป็นเพียงการทำข้อมูลพิสูจน์ทราบเส้นทางเท่านั้น

และประเด็นที่สังคมกังวลว่า ทนายตั้มจะเป็นพาหนะเชื้อโควิด 19 เพราะมาจากจังหวัดพื้นที่เสี่ยง เรื่องนี้ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะทนายตั้มได้เดินทางไปตรวจหาเชื้อโควิด 19 เป็นทีเรียบร้อยแล้ว ผลเป็นลบ

ส่วนเรื่องย้ายศาลาเจ้าแม่โสรภี ต้องย้าย เพราะศาลเดิมอยู่ติดแนวถนนเกินไป ตามกฎหมายต้อง ห่างจากถนน 9 เมตร จึงจำเป็นต้องย้ายเข้าไปอยู่ในระดับที่เขาอนุญาต แต่ระหว่างรูปปั้นพญานาคปู่ปาริจิตกับถนน อยู่ห่างกันเป็น 10 เมตร ซึ่งทางกฎหมายสามารถทำได้

ส่วนวันพุธนี้ ถ้าหาก ปทส.จะลงพื้นที่มาสำรวจรูปปั้นพญานาคก็ไม่กังวล ยังไม่มีคำสั่งให้หยุดก่อสร้าง จากนี้หากตรวจสอบแล้วผิด ก็พร้อมทำตามขั้นตอน และจะปรึกษาทนายถึงเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน

ยังมีอีกประเด็นที่เป็นข้อสังเกตเกี่ยวกับเรื่องเงินบริจาค ที่พระสมบัติได้ออกมาบอกว่า ไม่รับบริจาคเงินจากลุงพลแล้วนั้น ป้าแต๋นเปิดเผยว่า เมื่อวานตนเองเป็นคนเข้าไปพูดคุยกับพระสมบัติเอง เพราะเป็นคนที่นำบัญชีการบริจาคไปให้กับพระ ซึ่งพระสมบัติ ก็ชี้แจงว่า ท่านได้พื้นของศาลาแล้ว แค่นี้ก็เพียงพอตามที่ประสงค์ไว้  ส่วนเงินที่เหลือ ลุงพลจะนำไปบริจาคให้กับพระครูบารัตน์ ก็เป็นสิทธิ์ของลุง

กรณีนี้ มีเพจหนึ่ง ได้มีการแชร์ภาพป้าแต๋นถือกระเป๋าใบใหญ่ ในลักษณะหอบเงินนั้น ป้าแต๋นชี้แจงว่า วันนั้นตัวเองได้ไปทำบุญ แล้วพระได้ให้ลูกแก้วมา ด้วยความที่กระเป๋าหนัก และกลัวกระเป๋าขาด จึงได้อุ้มกระเป๋าไว้กับตัว ยืนยันไม่ใช้เงินล้านอย่างที่หลายคนเข้าใจ และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหอบเงินหนี เพราะไม่ได้มีมากขนาดนั้น

ขณะที่ความคืบหน้าทางคดี ล่าสุด ทางตำรวจเชิญตัวฝั่งครอบครัวน้องชมพู่ 7 ราย ลุงพล - ป้าแต๋น และพยายปากเอกทั้งหมด 6 ราย รวมทั้งสิ้น 15 คน เข้าเครื่องจับเท็จ เพื่อพิสูจน์คำให้การว่า ก่อนหน้านี้ ที่เคยให้การนั้นยังตรงตามที่เคยให้ไว้หรือไม่ และเป็นความจริงหรือไม่

ทั้งนี้ ผลวิเคราะห์จากเครื่องจับเท็จอย่างเดียว ไม่สามารถสร้างน้ำหนักความน่าเชื่อถือมากพอ ที่จะนำมาใช้เป็นหลักฐานเอก ในการชี้ชัดฟันธงว่า ใครคือคนร้ายได้ เพราะหลักฐานที่จะทำให้ศาลเชื่อ จนนำไปสู่การออกหมายจับผู้กระทำผิดได้นั้น ต้องมีองค์ประกอบร่วมหลายอย่าง โดยเฉพาะหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ที่มีความน่าเชื่อถือเป็นอันดับหนึ่ง

นั่นหมายความว่า ตอนนี้ในมือตำรวจ น่าจะมีหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ เส้นผมทั้ง 36 เส้น ที่ตกอยู่บริเวณใกล้กับศพของน้องชมพู่ และผมดีเอ็นเอ เหงื่อ ต่าง ๆ ที่ทางตำรวจได้มีการเก็บรวบรวมมาตั้งแต่ต้น เพียงแต่ต้องการผลการวิเคราะห์จากเครื่องจับเท็จมาช่วยเสริมน้ำหนักความน่าเชื่อถือให้เพิ่มมากขึ้น โดยตำรวจจะเร่งสรุปสำนวนภายในสัปดาห์หน้า เพื่อที่จะขอศาลออกหมายจับให้เร็วที่สุด 

ตำรวจออกหมายเรียกลุงพล คดีไม้หวงห้าม