"นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ตอบโต้ "พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา" ยืนยันโครงการจำนำข้าวสร้างชีวิตชาวนา มีโอกาสลืมตาอ้าปากได้ มากกว่า ซื้อรถถัง และเรือดำน้ำ ขณะที่รัฐบาลนี้บริหารประเทศมา 3 ปี ยังไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำได้

หลังจากที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ออกมา กล่าวหาโครงการรับจำนำข้าวทำให้รัฐสูญเสียงบประมาณจำนวนมาก ต้องมาผ่อนชำระ ชดใช้หนี้ต่างๆในระบบการเงินการคลังของประเทศ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ตอบโต้ทันที โดยระบุว่า การกล่าวหาโครงการรับจำนำข้าวทำให้ประเทศเสียหายก็น่าจะเทียบได้กับการจัดซื้อรถถัง และเรือดำน้ำ และยังมีแผนจะจัดซื้อเพิ่มเติมในอนาคตอีก

ทั้งนี้ยืนยันว่าโครงการรับจำนำข้าว เป็นการนำเงินทุกบาททุกสตางค์ จ่ายถึงมือชาวนาโดยตรง ทำให้ชาวนามีโอกาสลืมตาอ้าปากได้ เศรษฐกิจดีขึ้น ขณะที่รัฐบาลนี้บริหารประเทศมาถึง 3 ปีแล้ว ยังแก้ปัญหาปัญหาเศรษฐกิจ ราคาพืชผลเกษตรตกต่ำ ไม่ได้ แต่กลับใช้งบประมาณไปกับการซื้อ รถถัง เรือดำน้ำ ทั้งๆที่อ่าวไทยนั้นตื้นเขิน และประเทศก็อยู่ในสภาวะปกติที่ยังไม่มีภัยคุกคามจากเพื่อนบ้าน

นางสาวยิ่งลักษณ์ ยังระบุอีกว่า ไม่รู้ว่านายกรัฐมนตรี จะให้น้ำหนักความมั่นคงหรือปากท้องของประชาชนมากกว่ากัน ตนเองจึงหวังว่าหน่วยงานราชการทั้ง สตง. และ ป.ป.ช. จะเข้ามาตรวจสอบให้เข้มข้น เหมือนกับที่เคยทำกับรัฐบาลพลเรือนในอดีตโดยไม่เลือกปฏิบัติ เท่าเทียมกัน และไม่ควรมีการอ้างเรื่องชั้นความลับของทางราชการ เพราะหลายครั้งที่ผ่านมาก็มีข้อทักท้วง ข้อเสนอแนะมาโดยตลอด ทั้งทางเทคนิคด้านประสิทธิภาพ ความเหมาะสมกับการใช้งานในการดูแลความมั่นคง รวมถึงภาระหนี้ที่จะเกิดถึงในอีก 10 ปีข้างหน้าด้วย

ขณะที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ทราบมาตลอดว่ารัฐบาลนี้มีแนวคิดในการจัดซื้อเรือดำน้ำ เมื่อมีการที่อนุมัติไปแล้ว แต่ไม่ได้มาแถลงมติ จนกระทั่งมีคนไปรู้จึงทำให้ไม่ค่อยงดงามเท่าไหร่ เพราะคนที่ไม่เห็นด้วยก็มีอยู่แล้ว คนที่หวาดระแวงว่าจะมีอะไรหรือไม่ก็มีอยู่แล้ว

ส่วนตัวเห็นว่า เมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะซื้อเรือดำน้ำเพราะคิดว่ามีประโยชน์ ก็ต้องอธิบายด้วยว่าความจำเป็นคืออะไร จะบริหารภาระงบประมาณอย่างไร เพื่อให้ประชาชนสบายใจ เพราะงบประมาณจะต้องผูกพันไปอีกหลายปี ยิ่งภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ คนจำนวนมากยังเดือดร้อนอยู่ เพราะเงินที่ใช้ซื้อเรือดำน้ำเป็นเงินจำนวนมาก จึงต้องทำให้โปร่งใส อย่าทำให้สงสัยว่าทำไมต้องปิดบัง ขณะเดียวกันฝ่ายความมั่นคงต้องอธิบายให้เห็นถึงความจำเป็น ในการรักษาอธิปไตยด้วย

ด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าหากรัฐบาลใหม่เห็นว่าไม่จำเป็นที่จะจัดซื้อเรือดำน้ำต่อในอนาคต ก็สามารถยกเลิกมติ ครม.นี้ได้ เพราะอำนาจของรัฐบาลใหม่สามารถทำได้ทั้งนั้น

ส่วนรายละเอียดของการอนุมัติโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำนั้น ต้องให้กองทัพเรือ เป็นผู้ชี้แจง ในการจัดซื้อและใช้งบประมาณแต่ละครั้ง ซึ่งเบื้องต้นครม.มีการอนุมัติจัดซื้อ 1 ลำ มูลค่า 13,500 ล้านบาท และไม่ทราบว่าลำต่อไปจะต้องอยู่ที่มูลราคานี้หรือไม่ เรื่องนี้ได้เข้าที่ประชุมหลายครั้ง โดยครั้งแรกเป็นการเสนอกรอบ การจัดซื้อ 3 ลำ ดังนั้นกรอบแผนงานจึงมีอยู่ 3 ลำ

ขณะที่ นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้เข้ายื่นหนังสือต่อนายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน เพื่อขอให้ตรวจสอบกรณีการดำเนินการของคณะกรรมการจัดทำทีโออาร์ และการใช้อำนาจของกองทัพเรือ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี เป็นไปโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายต่างๆ หรือไม่ หลังจาก ครม.มีมติเมื่อวันที่ 18 เมษายนที่ผ่านมา อนุมัติให้กองทัพเรือจัดซื้อเรือดำน้ำจากจีน S26T จำนวน 1 ลำมูลค่า 13,500 ล้านบาท ว่าคำนึงถึงสภาพการณ์ของฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศหรือไม่ และการจัดทำทีโออาร์เอื้อประโยชน์ต่อประเทศจีนหรือไม่

ขณะที่นายพิศิษฐ์ กล่าวว่า จะดำเนินการตรวจสอบ โดยยึดหลักจรรยาบรรณ ตามวิธีการตรวจสอบงบประมาณด้านความมั่นคงหลักสากล ที่ไม่สามารถที่จะเปิดเผยข้อมูลที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคง แต่ไม่ยืนยันกรอบเวลาที่แน่ชัดได้เพราะต้องใช้ระยะเวลา โดยจัดทำข้อสังเกตและข้อแนะนำสะท้อนให้สังคมได้รับรู้ รวมถึงดูเหตุผลความจำเป็นในการใช้งบประมาณ โดยขณะนี้ได้เริ่มการตรวจสอบไปบ้างแล้ว