"นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" แนะ รัฐบาล คำนึงถึงปัญหาปากท้องของประชาชน มากกว่าการจัดซื้อเรือดำน้ำ แม้จะมีความจำเป็น แต่รัฐบาลต้องประเมินว่า ควรใช้งบประมาณแก้ไขปัญหาที่เร่งด่วนกว่า โดยเฉพาะในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้

นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง ความคุ้มค่าและความเหมาะสมในการจัดซื้อเรือดำน้ำจากประเทศจีน มูลค่า 13,500 ล้านบาท ว่า เมื่อรัฐบาลมีเม็ดเงินที่จำกัด จึงควรต้องพิจารณาว่าจะใช้อะไรเป็นอย่างแรก ตนเองในฐานะเคยเป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าใจความต้องการที่จะมีเรือดำน้ำไว้เพื่อป้องกันประเทศเพื่อความมั่นคง

แต่วันนี้บ้านเมืองยังอยู่ในสภาวะปกติ อาจจะชะลอบางโครงการได้ได้ แล้วนำงบประมาณไปใช้ในสิ่งที่เร่งด่วนกว่า โดยเฉพาะความเป็นอยู่ ปากท้องของประชาชน และความจำเป็นที่ต้องใช้บริหารบ้านเมือง เพราะการซื้อเรือดำน้ำเป็นการซื้อที่มีภาระผูกพันในอนาคต

นางสาวยิ่งลักษณ์ ยังกล่าวว่า โครงการจัดซื้อเรือดำน้ำ ไม่ควรนำเข้ามาพิจารณาใน ครม.เป็นวาระลับ เพราะเรื่องนี้ประชาชนให้ความสนใจและติดตามกันทั้งประเทศ หากมีการใช้เอกสารมุมแดงแบบนี้ตลอด ประชาชนก็จะไม่มีโอกาสรู้ และ ตรวจสอบความคุ้มค่าในการลงทุน ซึ่งสมัยที่ตนเองทำหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ขอให้ทางกองทัพเรือชะลอการจัดซื้อเรือดำน้ำออกไป และนำเงินไปพัฒนาส่วนอื่นที่มีความจำเป็นเร่งด่วนแทน

ขณะที่ความเคลื่อนไหวของพรรคประชาธิปัตย์ นายจุติ ไกรฤกษ์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ไม่อยากให้มองมุมแคบเพียงแค่ประเด็นเดียวว่า เป็นการ ลักลอบหรือปล้นงบประมาณซื้อเรือดำน้ำ แต่ต้องมองภาพให้กว้าง ยึดผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็ควรออกมาชี้แจงถึงมติทางเศรษฐกิจ มิติทางความมั่นคงของประเทศ มติในอธิปไตยของประเทศไทย ให้ประชาชนฟัง และอธิบายถึงเหตุผลที่ซื้อเรือดำน้ำว่ารอบคอบหรือไม่ ทั้งนี้ส่วนตัวเห็นด้วย หากมีเรือดำน้ำแล้วทำให้ประเทศไทยเข้มแข็ง เพราะขนาดประเทศสิงคโปร์เป็นประเทศที่มีน่านน้ำเล็กกว่าไทยยังมีเรือดำน้ำ 3 ลำ เวียดนามมีถึง 6 ลำ

ด้าน พลตำรวจเอกจักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีที่ ครม. มีมติเห็นชอบจัดซื้อเรือดำน้ำจากประเทศจีน ว่า ส่วนตัวไม่อยากไปวิจารณ์ในเรื่องนี้ แต่หากมองในแง่ดี การซื้อเรือดำน้ำ อาจจะทำให้ผู้ไม่หวังดี ไม่กล้ารุกล้ำ เข้ามาในน่านน้ำไทย

ส่วนจะมีกระแสต่อต้านจากประชาชน จนเกิดม็อบต้านขึ้นมาหรือไม่นั้น พลตำรวจเอกจักรทิพย์ กล่าวว่า การข่าวยังไม่พบข้อมูล แต่ได้สั่งให้ติดตามทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการข่าวผู้ที่จะรวมตัวมาชุมนุม หรือการข่าวเกี่ยวกับความมั่นคง

ผบ.สส.ยันไทยจำเป็นต้องมีเรือดำน้ำ พร้อมแจงเมื่อถึงเวลาเหมาะสม

ขณะที่ พลเอกสุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) กล่าวว่าการจัดซื้อเรือดำน้ำ ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนดำเนินการ ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ และรอประสานการเซ็นสัญญากับประเทศจีน ซึ่งกระบวนการจัดซื้อนั้น ต้องใช้ระยะเวลานาน และเมื่อกระบวนการเสร็จสิ้น ทางกองทัพเรือจะแถลงข่าวชี้แจงรายละเอียดเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม

ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ยังกล่าวว่า ข้อมูลลักษณะนี้ หลายประเทศถือเป็นความลับ ไม่เปิดเผยเป็นวงกว้าง โดยจะไม่ชี้แจงลงรายละเอียดใด แต่ทั้งนี้ยืนยันว่า ประเทศไทยมีความจำเป็นที่จะต้องมีเรือดำน้ำ ตามยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศ เพื่อไม่ให้ตกเป็นรองต่างประเทศมากเกินไป

"วิษณุ" เผย ครม.อนุมัติซื้อเรือดำน้ำไม่ถือเป็นเรื่องลับ

ด้าน นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวการที่ ครม.อนุมัติจัดซื้อเรือดำน้ำ ไม่ถือเป็นเรื่องลับ เพราะเมื่อถึงขั้นตอนการเบิกจ่ายงบประมาณ หรือทำสัญญาต้องมีการนำกลับมาพิจารณาในที่ประชุม ครม.อยู่แล้ว และการพิจารณาเรื่องนี้มีการหารือร่วมกันทั้งคณะรัฐมนตรีและข้าราชการที่เกี่ยวข้องทั้งหมด แต่หากเป็นการประชุมลับจะมีเพียงคณะรัฐมนตรีหารือกันเท่านั้น โดยข้าราชการไม่สามารถร่วมรับฟังได้

"ศรีสุวรรณ" เตรียมยื่น สตง.ให้ตรวจสอบการจัดซื้อเรือดำน้ำ 27 เม.ย.นี้

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการ สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ในวันที่ 27 เมษายนนี้ จะเดินทางไปยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) คณะกรรมการวินัยทางงบประมาณและการคลัง เพื่อขอให้ตรวจสอบการดำเนินการจัดซื้อเรือดำน้ำของรัฐบาล เนื่องจากประชาชนมีข้อสงสัยเกี่ยวกับกระบวนการจัดทำ ทีโออาร์ / ความโปร่งใสในการจัดซื้อ และความสามารถอาจจะไม่เหมาะกับการใช้งานจริง เนื่อจากอ่าวไทยมีระดับน้ำลึกเพียง 25-60 เมตรเท่านั้น ขณะที่สถานการณ์ความขัดแย้งในประเทศรอบข้างก็ไม่มี จึงไม่มีเหตุจำเป็นใดๆ ในการสะสม ยุทโธปกรณ์ รวมถึงรัฐบาล ไม่คำนึงถึงเศรษฐกิจของประเทศที่ตกต่ำ ซึ่งประชาชนและเกษตรกร กำลังเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า ที่สำคัญคือ การใช้อำนาจของกองทัพเรือ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และคณะรัฐมนตรี เป็นไปโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายว่าด้วยระบบวินัยการเงินการคลังของรัฐต่าง ๆ ของรัฐหรือไม่